"เอม สรรเพชญ์" กับความกดดันที่เป็นลูกคนดัง! ไม่อยากถูกมอง เข้าวงการได้เพราะพ่อ?

30 ส.ค. 67

เอม สรรเพชญ์ ลูกชาย ดู๋ สัญญา กับความกดดันที่เป็นลูกคนดัง! ไม่อยากโดนตราหน้า เข้าวงการได้เพราะพ่อ? เคยเป็นเด็กเนิร์ดขี้อายไม่กล้าเข้าสังคม

 

เรียกได้ว่าเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นสำหรับ "เอม สรรเพชญ์ คุณากร" ลูกชายสุดหล่อของ "ดู๋ สัญญา" ซึ่งมาเปิดใจแบบเจาะลึกในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็ก และการเข้าสู่วงการบันเทิง พร้อมเล่าถึงความกดดันที่เป็นลูกของพ่อดู๋ เผยอดีตเป็นเด็กเนิร์ดขี้อายไม่กล้าเข้าสังคม เผยเป็นคนที่ทำอะไรแล้วจะโฟกัส ทุ่มเททุกอย่างทำให้ดีที่สุด

s__46759957_0

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยที่ลอสแองเจลิส คุณคาดหวังว่าจะทำงานในด้านไหน ?
เอม สรรเพชญ์ : ตอนแรกเล็งไว้ว่าจะเรียนต่ออีกปี แล้วก็ไปเรียนสัตวแพทย์ พอผมเรียนจบแล้วก็ Gap Year ไว้ก่อน เพราะทั้งชีวิตคือเรียนอย่างเดียวเลยไม่ได้ใช้ประสบการณ์ชีวิต ไม่ได้เข้าสังคม ไม่ได้อะไร ผมก็เลยจะใช้ Gap Year แล้วลองทดสอบว่าเรามีเส้นทางอะไรได้บ้าง เราทำอะไรได้บ้าง มีแพชชั่นอะไรที่เคยอยากลองแล้วมีโอกาสที่จะได้ลองก็ลองไปเลยครับ เช่น การแสดง

ทำไมถึงอยากทำสายนี้คิดมาตลอดไหม ย้อนกลับไปตอนเด็กๆ เคยคิดจะเดินตามรอยคุณพ่อเข้าวงการไหม ?
เอม สรรเพชญ์ : ไม่เคยเลยครับ เพราะว่าผมเป็นเด็กที่ขี้อายมาก ไม่ค่อยชอบพูด ไม่ค่อยชอบอยู่กับใครด้วยซ้ำ ชอบใช้เวลาอยู่คนเดียว แต่อาจเพราะมีคุณพ่อเป็นนักแสดงด้วยแหล่ะครับ อีกส่วนใหญ่หนึ่งคือผมอยู่คนเดียวผมก็จะดูแต่หนัง ดูแต่ซีรีย์แล้วมันก็ติดใจครับ เราก็จินตนาการนึกไว้ในหัวเลย บท คาแรคเตอร์ ผมก็แอบชอบมาตั้งนานแล้ว แต่ในฐานะที่เราเป็นเด็กขี้อาย ก็ไม่คิดว่าสักวันหนึ่งเราจะกล้าพอที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone

แต่มันก็สะสมอยู่ในตัวมาตลอด ?
เอม สรรเพชญ์ : ใช่ มันมีความชอบอยู่ตลอดครับ แต่ผมจะไม่ค่อยพูดกับพ่อแม่เรื่องนี้เลย เราเก็บตัวมากครับ

s__46759956_0

พ่อเคยถามไหมว่า เราสนใจลองไปเทสดูไหม ?
เอม สรรเพชญ์ : ไม่ค่อยนะครับ แต่ว่าตอนมีรายการอะไรเสนอมา เขาก็บอกว่ามีละครสนใจเรานะ มีงานถ่ายแบบที่เขาสนใจนะ แต่ว่าช่วงนั้นผมจะโฟกัสเรื่องการเรียนก่อน ก็เลยปฎิเสธไปเยอะอยู่ครับ

อะไรที่จุดประกายอยากให้คุณเข้ามาในวงการ ?
เอม สรรเพชญ์ : คือตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ LA เขามีฟรีคอร์สที่เราจะทำอะไรก็ได้ แล้วมันดันมีคอร์สการแสดงผมก็เลยไปเรียน เพราะผมก็มีฝันไว้อยู่ว่าเราชอบ แล้วกลายเป็นว่าตอนที่เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้มันก็เลยไม่กลัว ก็เลยรู้ว่าสิ่งที่ผมติดจริงๆ คือไม่ใช่การแสดงแต่มันคือภาษา ผมก็เลยคิดว่าเรามีโอกาสขนาดนี้ เราโชคดีขนาดนี้ แล้วเราชอบด้วย แต่เราแค่กลัวเพราะว่าภาษาเราอาจจะยังไม่ถึง ก็เลยไม่ได้แล้วต้องยอมรับแล้ว

หมายถึงว่ากลัวที่จะสื่อสารภาษาไทยไม่ได้ ?
เอม สรรเพชญ์ : ใช่ครับ อ่านบทไม่ทันเขาอะไรแบบนี้ครับ พูดติดขัด

คุณเริ่มเข้าวงการยังไง ?
เอม สรรเพชญ์ : อย่างแรกเลยก็คือกลับมาแล้วพยายามฝึกซ้อมภาษาไทย เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมของผมให้เป็นภาษาไทยเยอะขึ้น เริ่มดูทีวี เริ่มฟังเพลงไทยทุกอย่าง มันจะได้ติดหูครับ

ตอนนี้มีวงโปรดที่ชอบฟังไหมครับ ?
เอม สรรเพชญ์ : รู้จักมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมชอบวง Bodyslam ครับ

แล้วบอกพ่อแม่ตอนไหน ?
เอม สรรเพชญ์ : บอกตอนเรามีความมั่นใจเยอะขึ้นในภาษา พอเราอ่านหนังสืออ่านได้ในมาตรฐานที่พอใช้ได้ ก็เริ่มบอกพ่อว่ามีละครอะไรที่เขาเสนอมาไหมครับ พ่อเขาก็งงนึกว่าเราจะเป็นสัตวแพทย์ไปแล้ว นึกว่าจะเป็นอีกทางหนึ่งไปแล้ว แต่พอผมได้อธิบายให้เขารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่จริงๆ เราชอบมานานแล้ว เขาก็สนับสนุนเต็มที่ครับ

หน้าคุณพ่อเป็นยังไง ?
เอม สรรเพชญ์ : เขางงจริงๆ ครับ เพราะตอนแรกเขาก็เห็นภาพลักษณ์เราว่าเป็นเด็กเงียบๆ แนวเนิร์ดๆ หน่อย ขี้อาย สายวิทย์ไม่ได้ครีเอทีฟ แต่ว่าเขาก็แฮปปี้ครับ

dsc02176_0

ลองทำอะไรเป็นชิ้นงานแรก ?
เอม สรรเพชญ์ : ตอนนี้กำลังเตรียมตัวเปิดกล้องอยู่เลยครับ กำลังจะเริ่มครับ พอลองไปทำเวิร์คช็อปผมก็ชอบตามที่คิดไว้เลยครับ ในฐานะที่เราเป็นคนเก็บตัว เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูด การที่เราได้เป็นคนอื่นมันถือว่าอาจจะเป็นการปลดปล่อยของเราก็ได้ ไม่ต้องเป็นตัวเอง ได้ใช้จินตนาการว่าเราเป็นคนโน้นคนนี้

พี่ดู๋ สัญญา เลี้ยงลูกแบบไหน ?
เอม สรรเพชญ์ : คุณพ่อเป็นคนที่เรียกว่าเลี้ยงโดยตรงไม่ได้ครับ เป็นคนที่ทำให้ดูเป็นแบบอย่างครับ เขาจะเป็นคนที่โชว์ตลอดไม่เคยบอกผม เพราะฉะนั้นตอนที่ผมได้เดินตามคุณพ่อ ผมก็เลยกลายเป็นคนที่คล้ายๆ คุณพ่อมากในทางบุคลิก พอได้แบบนั้นแล้ว เขาเหมือนปล่อยเลยครับ ทั้งคุณพ่อคุณแม่จะปล่อยให้เราทำอะไรเอง ตัดสินใจเอง ให้มีความรับผิดชอบเอง ให้เราดูแลจัดการชีวิตด้วยตัวเอง คุณพ่อเขาจะเน้นการได้ประสบการณ์

มีเป้าหมายในหัวไหมว่าจะแสดงถึงขั้นไหนยังไง จะกลับไปเรียนไหมหรือว่าหยุดไว้ก่อน ?
เอม สรรเพชญ์ : ตอนนี้คือหยุดไว้ก่อนครับ เพราะผมจะเด็ดเดี่ยวนิดหน่อยคือเวลาที่ผมทำอะไรจะโฟกัสแล้วทุ่มเททุกอย่างทำให้ดีที่สุด ไม่งั้นก็ไม่ควรทำ

dsc02173_0

การที่เป็นลูกของคนดัง สำหรับเราเองมันส่งผลทางด้านไหนไหม ?
เอม สรรเพชญ์ : ผมอาจจะไม่รู้สึกกดดันขนาดนั้น เพราะว่าพ่อผมเป็นคนที่อิสระมากครับ เขาปล่อยมาก แต่ว่าผมดันรู้สึกแบบอาจจะมีความรู้สึกผิดนิดหนึ่งเลยครับ ว่าเราต้องทำให้ดีเพราะว่าผมไม่อยากเป็นแบบลูกคนดังเข้าวงการก็ได้ แบบแนวนั้น ไม่ใช่ Nepo Baby แบบนั้น คือเข้าใจแหล่ะว่าชื่อคุณพ่อก็ช่วย แต่ว่าการตัดสินใจ แล้วการที่เราได้เล่นละครเราทำเอง ผมรู้สึกว่าเราต้องพิสูจน์ว่ามีฝีมือจริง ไม่ใช่แค่ว่าลูกพี่ดู๋ สัญญา ก็เล่นได้

นอกจากเป็นนักแสดงคุณพ่อก็เป็นพิธีกรด้วย คุณจะเดินตามเส้นทางนั้นด้วยไหม ?
เอม สรรเพชญ์ : อันนี้ก็น่าสนใจครับ แต่ว่าถ้าเกิดภาษาอังกฤษคือผมสะดวกในการทำแบบนี้ แต่ถ้าเกิดเป็นภาษาไทยก็ต้องฝึกซ้อมครับ เพราะว่าการเป็นพิธีกรยากมากครับ

พ่อของคุณเป็นนักถามที่ดีและได้ทำคอนเทนต์คุยกับผู้คนเยอะแยะมากมาย คุณพ่อได้แบ่งปันที่เป็นบทเรียนชีวิตให้กับเราบ้างไหมเวลาที่มีโอกาสได้คุยกัน?
เอม สรรเพชญ์ : ตลอดเลยครับ แต่ว่าเสียดายเมื่อก่อนผมจะไม่ค่อยฟังในฐานะที่เป็นวัยรุ่นเนอะ เราจะแบบพ่อคุยมาก อะไรไม่รู้ เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจแล้วว่าที่เขาแบ่งมาคือเขาได้คุยกับท็อปๆของทุกวงการเลย เหมือนพี่วู้ดดี้แหล่ะครับ คือพิธีกรจะกลายเป็นแบบฟองน้ำ เป้นสิ่งที่ดูดซึมทุกอย่างแล้วมันเป็นสิ่งที่ผมว่าเท่ห์มากเลย

dsc02170_0

คุณพ่อของคุณนั้นได้สร้างสิ่งเจ๋งๆ ไว้ให้กับวงการเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดง การจัดรายการ เขาเป็นไอดอลของหลายคน เป็นคนที่พี่มองเป็นต้นแบบมาโดยตลอด คุณโชคดีมากที่เกิดมาเป็นลูกของ ดู๋ สัญญา แล้วคุณมารู้ตัวตอนไหนว่าพ่อของฉันเจ๋งนะ ?

เอม สรรเพชญ์ : น่าจะช่วงโควิดครับ คือตอนที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ได้แยกจากครอบครัวมาแล้ว ได้เปิดประสบการณ์กับคนใหม่ๆ แล้วก็กลับมาได้อยู่กับพ่อแม่อีกที ก็รู้เลยว่าพ่อเราเป็น ไม่ได้ว่าเขาเก่ง แต่ว่าเขาเป็นคนที่รู้ตัวเอง แล้วแบบรู้เยอะครับ ผมก็เข้าใจว่านี่เป็นคนที่ผมนับถือมากอยู่แล้ว ผมถือว่าโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกเขา

dsc02166_0

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม