ทนาย"วิฑูรย์" รับนโยบายบอสพอลเดินหน้าต่อ จ่อเอาเรื่องเอก สายไหมฯ-พยานเท็จ ส่วนออเดอร์ทนายตั้มพักไว้ก่อน ชี้คนล้มอย่ากระทืบซ้ำ
นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ผู้ต้องหาในคดีบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป เปิดเผยว่า วันนี้ได้คุยกับ บอสพอล แค่คนเดียว เป็นความลับทางสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้ และวันนี้ตนก็รับนโยบายบางอย่างมาเพื่อจะดำเนินการต่อ ซึ่งเมื่อสักครู่ตนเองก็ได้พูดคุยกับตัวแทนของพยาน ในการวางแนวทางเข้าไปให้ข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป // เบื้องต้นขณะนี้บอสพอล ไม่ได้สั่งการให้ดำเนินคดีกับใครเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้สถานการณ์ ว่าจะนำพยานปากไหนเข้าไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม และการดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษแม่ทีม จะดำเนินการไปในแนวทางไหน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รีบร้อน รอในเรื่องเอกสารให้พร้อมก่อน ก็จะมีการดำเนินการ
ส่วนกรณีของ คุณเอก สายไหมฯ ที่มีการนำพยานเท็จเข้าไปให้ข้อมูลกับตำรวจ จนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เบื้องต้น บอสพอล ก็ฝากให้ดูแลเรื่องนี้ และมีทีมทนายอีกทีม เตรียมดำเนินการอยู่ คาดว่าไม่นานนี้จะมีการดำเนินคดี ซึ่งเท่าที่ตนดูข้อมูล จากกรณีที่พยานเท็จ เข้ามาให้สัมภาษณ์สื่อตนเองก็ต้องตกใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเตรียมพยานเท็จด้วย นอกจากนี้ยังมีการซักซ้อมกันมาก่อน เลยไม่เข้าใจว่า คุณเอก สายไหมฯ ทำไปทำไม จากคดีที่ควรจะเป็นคดีความปกติ กลายเป็นคดีความที่มีความรุนแรง และดิไอคอนถูกตราหน้า ว่าเป็นบริษัทที่จ่ายสินบนให้หน่วยงานต่างๆ ซึ่งจะมีการดำเนินคดีกับทั้งตัวของ คุณเอก สายไหมฯ และตัวของพยานเท็จ ส่วนจะดำเนินการ อย่างไรบ้างตนเองยังไม่ทราบรายละเอียด แต่เบื้องต้นดำเนินการเรื่องหมิ่นประมาทอย่างแน่นอน ส่วนข้ออ้างอื่นๆ จะมีการพูดคุยกันหลังจากนี้ ซึ่งจะมีการ เข้าไปแจ้งความที่สอบสวนกลางในช่วงของสัปดาห์หน้า ส่วนในวันพรุ่งนี้ตนเองจะเข้าไปที่ DSI เพื่อยื่นหนังสือให้ DSI พิจารณา ดำเนินคดีกับ คุณเอกสายไหมต้องรอด รวมถึงพยานเท็จ และพูดคุยถึงแนวทางในการ นำพยานเข้ามาให้ DSI สอบปากคำ // เบื้องต้นวันนี้ได้ประชุมทีมทนาย และก็ได้เจอ ทีมทนายของคุณกันต์ กันตถาวร ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยข้อมูลกัน เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันไม่มีใครแตกแถว
ขณะที่ออเดอร์ทนายตั้ม เป็น ออเดอร์ ที่ต้องพักไว้ก่อน เพราะขณะนี้จากกระแสข่าว ทนายตั้ม ก็มีปัญหาส่วนตัวค่อนข้างมาก ซึ่งตนมีคติ คนล้มอย่ากระทืบซ้ำ ต้องปล่อยให้ทนายตั้ม แก้ปัญหาของเขาก่อน
ส่วนกรณีของ คุณเคนโด้ ที่ออกมาให้ข้อมูลว่าอาจจะไม่ใช่วิสัยของทนายที่ออกมาพูดว่าวันนี้แจ้งความใครบ้างนั้น ตนมองว่าแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ส่วนตนนั้นเป็นทนายของบอสพอล ก็ต้องรักษาผลประโยชน์ให้กับบอสพอล // ส่วนกรณีที่ ทนายเดชา ระบุว่า การที่ตนพูดประโยคเมื่อวานนี้คือ ""อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ แกล้งตายให้เป็น แล้วรอวันเอาคืน"" เป็นการข่มขู่ ขอยืนยันว่านี่ไม่ใช่การข่มขู่ แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่ง ทนายเดชาก็เป็นทนายมานาน น่าจะรู้ดีว่าสิทธิตามกฎหมายสามารถทำอะไรได้บ้าง ส่วนกรณีที่บอกว่าตนไม่ได้เก่งอยู่คนเดียว ก็ยอมรับ เพราะตนก็ไม่ได้เก่งอยู่คนเดียวจริงๆ ทุกคนมีความสามารถ และตนขอยืนยันว่า ตนทำงานบนข้อเท็จจริง และไม่ได้สนกระแสสังคม หน้าที่ของตนคือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกความ
ด้านประเด็นยื่นหนังสือถึง DSI เพื่อเปลี่ยนสถานะ แม่ข่ายที่ไปแจ้งความและเป็นผู้เสียหายให้เป็นผู้ต้องหาร่วม จนอาจจะต้องกลายเป็น พยานซักทอด และถูกลดความน่าเชื่อถือในชั้นศาล เป็นกรณีการ ลดความน่าเชื่อถือของพยาน เพื่อเอื้อประโยชน์ ในการเข้าสู่กระบวนการชั้นศาลในอนาคตหรือไม่นั้น ตนมองว่า ตนเองชี้ข้อเท็จจริงในคดี และไม่ได้มีเจตนาจะลดน้ำหนักพยาน ส่วนมุมมองของคนอื่นๆก็ ไม่ก้าวล่วง
ส่วนแนวทางการทำคดีของตน หากตนอยากทำเพื่อเอากระแสสังคม แต่คดีแพ้ ตนเองก็ไม่ทำ และตนจะทำให้คดีนี้ชนะ ไม่ว่าใครจะมองอย่างไรก็ตาม สุดท้ายศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าเรานั้นเป็นผู้กระทำความผิด หรือ เป็นผู้บริสุทธิ์ นักรบไม่เลือกวิธีในการสู้ แต่ขอยืนยันว่าตนเองไม่ใช้วิธีการใต้ดินหรือวิ่งเต้นใดๆทั้งสิ้น ทนายแต่ละคนมีวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกันไปหากถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะชนะคดีนี้ตนเองตอบไม่ได้ แต่ตนเองจะทำให้ดีที่สุดสำหรับลูกความ
ส่วนแนวทางในการยื่นประกันตัว ขณะนี้ยังไม่มีแนวทางในการยื่น (เพราะรู้อยู่แล้วยื่นไปก็ไม่ผ่าน เพราะการสอบสวนยังไม่เสร็จ) จึงใช้กำแพงเรือนจำเป็นฐานที่มั่น ในการต่อสู้คดี ยอมรับว่าบอสทุกคนอยากออกมาข้างนอก แต่สถานการณ์ณตอนนี้คิดว่าสู้คดีอยู่ข้างในเรือนจำน่าจะดีกว่า // เบื้องต้นในส่วนของบอสวิน อาจจะพิจารณาเป็นพิเศษ และอาจจะมีการยื่นประกันตัวเนื่องจากอาการเจ็บป่วยโรคมะเร็ง เพราะอยู่ข้างนอกหากเจ็บป่วยน่าจะรักษาตัวได้สะดวกกว่า
อย่างไรก็ดี กรณียอดเงิน 2.5 ล้านบาท ที่โอนไปให้แม่ของนักการเมือง ส. นั้น ตนเองได้สอบถามบอสพอลแล้ว เบื้องต้นทราบว่าเป็นเงินที่ โอนไปทำบุญร่วมกันจริงๆ เนื่องจากรู้จักกัน มีการโอนให้หลายครั้ง ครั้งละไม่เท่ากัน ซึ่งบางครั้งก็โอนหลักแสน แต่จำรายละเอียดการโอนและความถี่ไม่ได้ ซึ่งต้องดูในเอกสารและหลักฐานอีกครั้ง