กุ้งพลอย เผยจุดเดือดฟ้อง หนุ่ม ศรราม ถูกกีดกันไม่ให้เจอหน้าลูกนาน 8 เดือน ยัน! ไม่เคยเอาลูกมาทำคอนเทนต์ ไม่เกี่ยวใครแพ้-ชนะ แค่อยากหาตรงกลางให้ลูก
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนถูกพูดถึงไปทั่ววงการเลยก็ว่าได้ จากกรณีที่สาว “กุ้งพลอย กนิษฐรินทร์“ ประกาศฟ้องร้องพระเอกหนุ่ม อดีตสามี ”หนุ่ม ศรราม“ ในข้อหากีดกันไม่ให้พบลูกสาว “น้องวีจิ” หลังก่อนหน้านี้ทั้งคู่แยกกันอยู่มาหลายปีและได้ประกาศหย่าตัดความสัมพันธ์เป็นที่เรียบร้อย โดยทางฝ่ายชายได้ออกมาเปิดเผยข้อเรียกร้องของฝ่ายหญิงกับสื่อมวลชนได้รับทราบ
“กุ้งพลอย กนิษฐรินทร์” ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีที่เจ้าตัวนั้นเป็นการฟ้องร้องอดีตสามี “หนุ่ม ศรราม” โดยเผยว่า เรื่องนี้มันค่อนข้างพูดยาก อะไรที่ตอบได้ก็จะตอบ เพราะไม่กล้าก้าวล่วงศาล ตอนนี้ขอให้ศาลพิจารณาข้างต้น ส่วนที่ฟ้องเขาเรื่องอะไรนั้นตนก็ขอไม่พูด เพราะตนเคารพศาลมาก ที่ผ่านมามันก็เป็นปัญหาที่สะสมมา และตนชอบอะไรชัดเจน หากทำตามที่บอกได้ก็โอเค แต่หากพูดแล้วทำไม่ได้ อีกทั้งยังใช้วาทกรรมอำพราง ก็ควรจะเลิกทำ
ถามถึงการตัดสินใจ ให้เป็นฟางเส้นสุดท้ายในการใช้กฏหมาย เจ้าตัวบอกว่า ฟางเส่นสุดท้ายมันมีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตนนั้นอดทน เพราะเรื่องครอบครัว คือเรื่องละเอียดอ่อน ก็ไม่อยากจะฟาดฟันให้เหมือน 2 ปีที่แล้ว แต่ถ้าถามว่าฟางเส้นสุดท้ายคืออะไร ก็คงเป็นเรื่อง ติดต่อไม่ได้ และไม่รับสายหลายๆรอบ
ในส่วนข้อตกลง กับการอ้าง 6 ข้อหลังใบหย่า ที่ไม่รู้กฏหมาย เพราะเชื่อใจกับสิ่งที่เคารพการตัดสินใจตอนนั้นไป เพราะไม่รู้เรื่องกฏหมายมากนัก แต่เคารพการตัดสินใจของใครคนหนึ่ง ไม่อยากให้เขาเครียด แต่พอรู้กฏหมายจริงๆ แล้ว 6 ข้อที่รับ มันว่างเกินไป ตนเลยอยากได้สิ่งที่ขอ ที่มองว่าลูกจะได้สิ่งดีๆ ทั้งนั้น แต่ตนไม่เคยได้เลย อาทิเช่น การพบลูกต้องพบที่ ศิริชัย ที่เดียว มาตลอด 6 ปี หรือการบล็อควิดีโอคอลแบบไร้เหตุผล
ถามถึงสภาพจิตใจ เจ้าตัวบอกว่า เมื่อก่อนเราเป็นคนปรี๊ดง่าย แต่ตอนนี้นิ่งขึ้น เพราะมันชินแล้ว ซึ่งตนไม่ได้เจอลูกมานานกว่า 8 เดือนแล้ว แต่ก็มีโทรหาเรื่อยๆ เขาก็ไม่รับ ตนนั้นก็อยากจะทราบเหตุผลเหมือนกัน 4 ปีที่ผ่านมา ตนก็เห็นแล้ว ตามที่เขาให้สัมภาษณ์ล่าสุด นั้นคือคำตอบทึ่ชัดเจน
ก่อนหน้าเขาให้เหตุผลว่าตนชอบเอาลูกไปทำคอนเทนต์ ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า เรื่องนี้คนถามเยอะมาก และคิดว่า วาทกรรมอำพรางมันเกิดขึ้นได้ทุกกรณี อยู่ที่ว่าเขาเบี้ยงประเด็นในหลักของความจริงหรือเปล่า ตนก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำคอนเทนต์ อย่างเรื่องสระว่ายน้ำและที่โรงเรียน ตนก็อยากให้เอารูปออกมาโชว์มาไปทำคอนเทนต์จริงไหม สังคมก็มาถามตน แต่ก็เข้าใจ ว่าน้ำหนักชื่อเสียงของตนมันบดบี้ยับเยินไปแล้ว จะมาอธิบายคนก็ไม่เชื่อ ซึ่งถ้าบอกว่าเวลาเจอลูก ไม่ควรถ่ายรูป ตนคิดว่า “หนุ่ม” ก็ควรทำแบบนั้นด้วย ฟาดกลับ! ใครกันแน่ ทำคอนเทนต์ลูกมากที่สุด ควรเอาหลักฐานมาให้ดูด้วยเวลาให้สัมภาษณ์สื่อด้วย ที่ผ่านมาตนก็พยายามเต็มที่แล้ว และมั่นใจลูกคนลืมแล้ว แต่เพราะใครที่พยายามให้ลูกใกล้ชิดแม่อยากกว่าเดิม
หากลูกได้ฟัง ตนก็อยากจะฝากว่า ตนก็อยากเจอลูกตลอดและลูกก็อยากเจอเรา เวลาได้ยินลูกเขทจะบอกตนเสมอว่าดีใจไหมที่ได้เจอ ซึ่งตนก็ไม่ได้กลัวอยู่แล้ว เพราะไม่ได้เอาสื่อสู้กัน จะถูกหรือผิดเราใช้กระบวนการพิจารณาของศาล
สุดท้ายเจ้าตัวก็ฝากถึงสามีว่า ถ้ายังสร้างวาทกรรมอำพรางอยู่เรื่องนี้ก็จะไม่จบเพราะเกี่ยวกับการที่เราหาจุดตรงกลางให้ลูกมากกว่า ไม่ใช่ลงจากศาลแล้วมาให้สัมภาษณ์ ถามว่าอะไรที่ทำให้ตนมายืนตรงนี้ เพราะข่าวที่ออกมา ก็มาจากการให้สัมภาษณ์ ถ้าไม่ลุกมาปกป้องตัวเองเรื่องนี้ก็จะไม่จบ ต่อไปนี้จะพูดอะไรก็ควรมีหลักฐานด้วย
ในส่วนที่เขามาพูดถึงข้อเรียกร้อง ตนก็ไม่รู้สึกสะเทือนเลย เพราะมันไม่ควรออกจากปากเขาด้วยซ้ำ เพราะเรื่องนี้ละเอียดอ่อน เพราะตอนนี้ตนถูกประชาชนตัดสินว่าเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ตนก็ยัฃอยู่ได้ ยังสู้ โอกาวเขามีเยอะมากกว่าตนอีก ไม่รู้จะไปซีเรียสอะไร ตนพูดก็ออกมาจากใจ ไม่ได้ชี้นำจากใคร ไม่อยากให้ใครมาตัดสินตนไม่ดี