"ผู้นำฝ่ายค้าน" โวยรัฐบาลทำคนไทยเป็นหนี้ยันลูกหลาน

27 พ.ค. 63

“ผู้นำฝ่ายค้าน” ย้ำเงินกู้จำนวนมหาศาล ลูกหลานต้องเป็นหนี้ รัฐบาลต้องนำเงินไปใช้ด้วยความรับผิดชอบ ช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึง-กอบกู้เศรษฐกิจได้

เมื่อเวลา 12.20 น. วันที่ 27 พ.ค.ที่อาคารรัฐสภา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวในที่ประชุม สภาผู้แทนราษฎร ว่า ขอชื่นชมและแสดงความยินดีต่อความสำเร็จต่อการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย

เป็นความร่วมมือและการเสียสละของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ที่ช่วยกันปฏิบัติตามการแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทำให้โรคเบาบางลง ขอชื่นชมบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน แต่ในความสำเร็จนั้นก็แฝงด้วยความผิดพลาดของการบริหารจัดการภายใต้ภาวะวิกฤต ทั้งความไม่มีประสิทธิภาพในการจัดหาหน้ากากอนามัยและการขาดแคลนชุดป้องกันการติดเชื้อ (PPE)

1590588826140

สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ความสับสนในมาตรการกักตัวผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ การสั่งปิดกิจการในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนประกาศมาตรการเยียวยาให้ชัดเจน ความล่าช้าและการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงและรวดเร็ว ความล่าช้าในการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และความล่าช้าในการคลายล็อคให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ

นายสมพงษ์ กล่าวว่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่ประเทศที่หยุดการระบาดได้อยู่หมัดบนซากปรักหักพังของเศรษฐกิจประเทศ ไม่ใช่ประเทศที่ปล่อยการระบาดรุนแรงจนยืดเยื้อกระทบต่อชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ จากความผิดพลาดของรัฐบาล ส่งผลให้ประเทศไทยจัดอยู่ในประเทศที่ได้รับความชื่นชมการควบคุมด้านระบาดวิทยา แต่ล้มเหลวการเยียวยาและกอบกู้วิกฤติทางเศรษฐกิจ

ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่กันทุกหย่อมหญ้า ด้วยต้นทุนทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลที่เราต้องเสียไป ทำให้เราอยู่ในภาวะที่จำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เข้ากอบกู้เศรษฐกิจไม่ให้ทรุดหนักจนเกินเยียวยา นำไปสู่การกู้เงินจำนวนมหาศาล ตาม พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับนี้

1590588903698

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าเงินกู้จำนวนมหาศาลนี้ คนที่ต้องร่วมกันชดใช้คือประชาชนทั้งประเทศ จึงจำเป็นต้องถูกนำไปใช้ด้วยความรับผิดชอบ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยแท้จริง ไม่ใช่การแบ่งเค้กชิงผลประโยชน์

การใช้เพื่อสร้างฐานคะแนนเสียง การเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้เงินกู้ก้อนนี้ เพราะ พรก.ทั้ง 3 ฉบับ ให้อำนาจฝ่ายบริหารไว้สูงมาก แต่การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินมีเพียงการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เพียงไม่กี่คน ตรวจสอบเงินจำนวนมหาศาล โดยไม่ต้องรายงานการใช้จ่ายต่อฝ่ายนิติบัญญัติ

จำเป็นที่ตัวแทนของประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันตรวจสอบให้การใช้เงินก้อนนี้เป็นไปอย่างสุจริตและมีประสิทธิภาพสูงสุด ป้องกันไม่ให้ตีเช็คเปล่าให้รัฐบาลใช้เงินโดยตามอำเภอใจ ไร้การตรวจสอบ จนอาจส่งผลเสียต่อประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ พ.ร.ก.ฉบับแรก คือ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทนั้น สามารถแยกพิจารณาเป็น 3 กลุ่มใหญ่

1590588806853

1.แก้ไขการระบาดโควิด-19 (45,000 ล้านบาท) นั้น ผมเห็นถึงความสำคัญของการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอด้านสาธารณสุข แต่รัฐบาลต้องสามารถชี้แจงต่อสังคมให้ได้ว่า งบการก้อนที่มีรายละเอียดการใช้จ่าย

2.การช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ (555,000 ล้านบาท) เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่การเยียวยาในแบบของรัฐบาลมีปัญหาในเชิงปฏิบัติ ยิ่งคัดกรองมาก ยิ่งหลุดมาก ไม่ครอบคลุม ไม่ทั่วถึง คนเดือดร้อนจริงกลับไม่ได้

3.งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ (400,000 ล้านบาท) เป็นก้อนที่พวกเราฝ่ายค้านเป็นห่วงที่สุด เป็นส่วนที่จะมีปัญหามากที่สุด มีข้อสังเกตว่าแบ่งตามกระทรวงต่างๆ ไว้หมดแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าสภา และตามที่รัฐบาลกล่าวถึงทิศทางการใช้เงินก้อนนี้ ไม่ตอบโจทย์ และไม่ได้คิดถึงภาพใหญ่

เปิดช่องการใช้เงินเพื่อประโยชน์ทางการเมือง หรือนำไปทำโครงการแบบเดิมๆ เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง ฝ่ายค้านไม่ขัดข้องกับการกู้เงิน เพราะเล็งเห็นถึงความจำเป็น แต่ขอทักท้วงในด้านการนำไปใช้จ่าย เพื่อให้เกิดประโยชน์ ถูกต้อง ครอบคลุม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ และยังต้องคำนึงถึงศักยภาพของรัฐบาลที่เป็นผู้ใช้งบด้วย

1590588853511

นายสมพงษ์ กล่าวว่า ในส่วนของ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 นั้น เมื่อลงไปสู่การปฏิบัติ ตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้ ผมมองว่าดุลยพินิจของการปล่อยกู้ อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ ที่มีแนวโน้มปล่อยให้ลูกค้าเดิมที่แข็งแรงอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องการความเสี่ยงเพิ่ม

แต่ SMEs ที่ประสบปัญหาได้รับผลกระทบจากโควิด ก็ยังคงเข้าไม่ถึงสินเชื่อเหมือนเดิม นอกจากนั้นยังเปิดช่องทางที่เอกชนรายที่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อ เอาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปปล่อยต่อให้เอกชนที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในราคาสูง มีลักษณะเหมือนสินเชื่อนอกระบบ รายใหญ่ได้ประโยชน์ รายเล็กโดนเอาเปรียบ

ท้ายสุด SME จำนวนน้อยนิดที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จาก พ.ร.ก.ฉบับนี้ อีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้นี้ได้ ในส่วนของ พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 นั้น ขอให้ ส.ส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ฝ่ายค้านจะร่วมกันอภิปรายถึงรายละเอียดในเชิงลึกของ พ.ร.ก. ทั้ง 3 ฉบับต่อไป

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสภาฯ จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อทำให้ประโยชน์ของ พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับนี้ ลงสู่การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นผลต่อการกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการบริหารจัดการที่โปร่งใส มิใช่เป็นแหล่งทุนที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โปรดระลึกไว้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นคือเงินอนาคตของลูกหลาน

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวการเมือง เป็นกระแส