เมื่อวันที่ 23 มี.ค.63 "ไมนิจิ ชิมบุง" และ "อิซะ นิวส์" สองสื่อยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นรายงานข่าวเกิดเหตุสลด หญิงไทยวัย 41 ปี ก่อเหตุฆาตกรรมลูกของตัวเอง 2 ศพที่ญี่ปุ่น เหตุเพราะไม่ต้องการให้สามีชาวญี่ปุ่น ได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก หลังหย่าร้าง ก่อนจะเดินร้องไห้เข้ามามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
รายงานข่าวดังกล่าวได้สร้างความสะเทือนใจไปทั่วญี่ปุ่น โดยระบุว่า นาง ฤดีภรณ์ ฟุรุคาว่า หญิงไทยอายุ 41 ปี ซึ่งมีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท ได้เดินร้องไห้ไปมอบตัวกับตำรวจญี่ปุ่น ที่ป้อมตำรวจใกล้กับเขตคิจิโจจิตะวันออก โดยเธอเข้ามอบตัวทั้งน้ำตา พร้อมสารภาพว่า เพิ่งฆ่าลูกแท้ ๆ เสียชีวิต 2 คน ทำให้ตำรวจญี่ปุ่นที่รับแจ้งเหตุถึงกับตกตะลึง
โดยคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่มีผู้หญิงชาวไทยเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 24 มี.ค.63 ที่ผ่านมา บริเวณแมนชั่นหลังหนึ่ง ในเขต อ.มุซาชิโนะ ชานกรุงโตเกียว
ภายหลังจากที่นางฤดีภรณ์ เดินร้องไห้มามอบตัวที่ป้อมตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นได้รุดไปตรวจสอบยังแมนชั่นซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเธอ จึงได้พบศพของเด็กชาย อายุ 13 ขวบ นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอยู่ภายในห้องนอน โดยข้าง ๆ ศพมีมีดเปื้อนเลือดเล่มหนึ่งตกอยู่
ถัดไปในห้องนั่งเล่น ตำรวจญี่ปุ่นพบศพของเด็กหญิง อายุ 10 ขวบ นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น โดย ตำรวจญี่ปุ่นรีบนำตัวเด็กทั้งสองส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง แต่ก็สายเกินไป เพราะแพทย์ยืนยันว่าทั้งคู่เสียชีวิตไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลการสอบปากคำเบื้องต้น นางฤดีภรณ์ รับสารภาพว่า ใช้มีดแทงลูกทั้ง 2 คนเสียชีวิตจริง ขณะที่ลูก ๆ กำลังนอนหลับ โดยสาเหตุเกิดจากมีปัญหากับสามีชาวญี่ปุ่น อายุ 38 ปี ซึ่งในขณะนี้สามีได้แยกออกไปอยู่ลำพัง และทั้งคู่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหย่าขาดจากกัน แต่ทั้งคู่ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตร
นางฤดีภรณ์ เปิดเผยว่า ฝ่ายสามีพยายามจะแย่งลูกทั้งสองไปจากตน ตนจึงเกิดความเครียดสูง และตัดสินใจก่อเหตุฆ่าลูกทั้งสองคนทิ้ง เพื่อไม่ให้สามีนำลูกไปได้
อย่างไรก็ตาม สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ตำรวจญี่ปุ่นถึงกับตกตะลึงเมื่อนางฤดีภรณ์ ระบุว่า "ถ้าฉันต้องเสียลูกไปให้มัน ก็ให้มันเอาไปแต่ศพลูกก็แล้วกัน"
ขอบคุณข้อมูลจาก
Advertisement