จากกรณีการเผยแพร่คลิปเสียงภายในกลุ่มไลน์ของพนักงานบริษัทด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ย่านรัชดา กรุงเทพฯ คลิปมีความยาวประมาณ 1 นาที 41 วินาที เป็นการสนทนาผ่านทางโทรศัพท์ระหว่างหญิงสาวผู้ป่วยโควิด-19 กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหมายเลขโทรศัพท์ของโรงพยาบาลปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ชัดเจน
ทั้งนี้ใจความสำคัญเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับการรับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลดังกล่าว เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งเงื่อนไขข้อกำหนดให้ทางฝ่ายผู้ป่วยทราบว่า ก่อนที่จะรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษา จะต้องบริจาคเงินให้โรงพยาบาลรายละ 100,000 บาท หากสามารถรับเงื่อนไขดังกล่าวได้ โรงพยาบาลจึงจะส่งรถมารับตัวและจัดหาเตียงให้เข้ารับการรักษา แต่ผู้ป่วยต้องยืนยันทางโทรศัพท์ทันที ไม่เช่นนั้นจะถือว่ายกเลิก และทางโณงพยาบาลจะให้สิทธิ์กับผู้ป่วยรายอื่นตามคิวต่อไป อย่างไรก็ตาม สังคมตั้งคำถามว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
นางสาวนที (นามสมมติ) อายุ 37 ปี เจ้าของคลิปเสียง ชี้แจงว่า ตามหลักตนมีแผนจะได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่บริษัทจัดหาให้ในวันที่ 13 ก.ค. แต่ต้องตรวจโควิดก่อน ซึ่งตนก็วางแผนจะไปตรวจในวันที่ 11 ก.ค. ปรากฏว่าเช้าวันที่ 11 ก.ค. รู้สึกปวดหลัง และชอบดมยาดม แต่กลับไม่ได้กลิ่น เอาสำลีก้านยาวจุ่มแอลกอฮอล์มาดมก็ไม่ได้กลิ่น ฉีดน้ำหอมก็ไม่ได้กลิ่น จึงลางานไปตรวจโควิด ทราบผลว่าติดโควิด-19 ทั้งตนและลูกชายวัย 10 ขวบ ตนรีบหาโรงพยาบาลเพื่อรักษา เพราะรู้ตัวเองว่าปอดไม่ดี ได้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลเอกชนในช่วงเช้า ประสานจนได้เตียง แต่ช่วงบ่ายก็มีพนักงานอีกคนโทรมาชี้แจงกระบวนการรักษา เป็นไปตามคลิปเสียงการสนทนา
ทั้งนี้ คลิปเสียงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดจากการสื่อสารของพนักงานโรงพยาบาลที่ติดต่อมาพูดคุย ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ จึงบันทึกเสียงไว้ จากนั้นตนได้มีการส่งคลิปให้ผู้ตรวจการโรงพยาบาลรับทราบทันที ผู้ตรวจการรับเรื่อง นำเรื่องเข้าบอร์ดบริหารทันที ก่อนมีการโทรศัพท์มาขอโทษตน พร้อมชี้แจงว่าพนักงานสื่อสารผิดพลาด ซึ่งความเป็นจริงกรณีป่วยโควิด-19 ถือเป็นเคสฉุกเฉินที่ต้องรีบรักษา
ดังนั้นหากการมีประกันภัยก็จริง แต่เนื่องประกันภัยทุกคนอาจจะไม่ครอบคลุมวงเงินการรักษาได้ทั้งหมด และการรอตรวจสอบสิทธิ์ก่อนรักษาอาจจะไม่ทันการกรณีป่วยโควิด-19 ทางโรงพยาบาลจึงขอเรียกเก็บเงินมัดจำประกันภัยไว้ก่อน 100,000 บาทเท่านั้น หากสิทธิ์ครอบคลุมก็คืนเงินให้อัตโนมัติ แต่เคสตนจากการตรวจสอบสิทธิ์ปรากฏว่าประกันครอบคลุมทั้งหมด ทั้งของตนและลูกชาย มีวงเงินมากกว่า 1 ล้านบาท จึงไม่ต้องวางเงินมัดจำในส่วนนี้
ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาปล่อยคลิป แต่การส่งให้เพื่อน เป็นเรื่องเหนือการควบคุม และเพื่อนก็เป็นห่วงตน เป็นเหตุให้คลิปแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
Advertisement