วงการธุรกิจทั่วโลกกำลังจับตามอง "Seven & i Holdings" ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมค้าปลีกของญี่ปุ่น เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่คุ้นเคยกำลังตกเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อกิจการจาก "Alimentation Couche-Tard" บริษัทค้าปลีกจากแคนาดา เจ้าของร้านสะดวกซื้อ Circle K และ Couche-Tard
ท่ามกลางกระแสข่าวการต่อสู้กันอย่างดุเดือด Seven & i Holdings ได้งัดกลยุทธ์สุดท้าทาย ด้วยการประกาศแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout) หรือ "Go Private" ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทกลับมาเป็นบริษัทเอกชนอีกครั้ง
การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงธุรกิจเป็นอย่างมาก ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ และนัยยะสำคัญที่แฝงอยู่เบื้องหลัง
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังกลยุทธ์ และผลกระทบของกรณีศึกษา 7-Eleven ญี่ปุ่น และวิเคราะห์เชิงลึกต่อปรากฏการณ์การต่อต้านการควบรวมกิจการครั้งสำคัญนี้
เซเว่นฯ ญี่ปุ่น ส่อแววปิดฉากขายหุ้น ด้วยแผนเทคโอเวอร์ตัวเอง มูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท!!
Seven & i Holdings บริษัทเจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศญี่ปุ่น ประกาศว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout) จะส่งผลให้บริษัทกลับมาเป็นบริษัทเอกชนอีกครั้ง
โดยรายงานข่าวจากทาง Nikkei ระบุว่า ตระกูลผู้ก่อตั้ง Seven & i Holdings ได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด คาดการณ์ว่ามูลค่ารวมของธุรกรรมครั้งนี้อาจสูงถึง 6 ล้านล้านเยน หรือกว่า 1.3 ล้านล้านบาท
วัตถุประสงค์สำคัญในครั้งนี้ คาดว่า เพื่อปกป้องกันการเข้าซื้อกิจการจาก Alimentation Couche-Tard บริษัทค้าปลีกจากประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อ Circle K และ Couche-Tard ที่เคยแสดงความสนใจเข้าซื้อกิจการ Seven & i Holdings ในประเทศญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แผน Go Private ดังกล่าว ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย ทั้งในส่วนของผู้ถือหุ้น และสถาบันการเงินที่จะให้การสนับสนุนด้านเงินทุน ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้ประกาศหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์ของ Seven & i Holdings ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนจะกลับมาเปิดทำการซื้อขายอีกครั้ง ซึ่งราคาหุ้น Seven & i Holdings ได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 18% ทันที สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนต่อแผนการในครั้งนี้
แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าแผน Go Private ของ Seven & i Holdings จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่การตัดสินใจในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น และทั่วโลกอย่างแน่นอน
[เซเว่นฯ เดินหน้าสกัดแผนฮุบกิจการครั้งใหญ่ วางกลยุทธ์ Go Private ทุบสถิติญี่ปุ่น]
Seven & i Holdings บริษัทค้าปลีกชั้นนำของญี่ปุ่น เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ประกาศความพร้อมในการดำเนินกลยุทธ์ Go Private ด้วยแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout) เพื่อป้องกันการเข้าซื้อกิจการจาก Alimentation Couche-Tard บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของแคนาดา
หากการซื้อกิจการคืนประสบผลสำเร็จ ด้วยมูลค่าตลาดปัจจุบัน ณ วันพุธที่ผ่านมาสูงถึง 5.8 ล้านล้านเยน จะทำให้ดีลนี้กลายเป็นการซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ทำลายสถิติเดิมของ Taisho Pharmaceutical Holdings ที่ 710,000 ล้านเยนลงอย่างสิ้นเชิง
ด้วยกลยุทธ์สำคัญของ Seven & i Holdings คือ การจัดตั้งบริษัทเฉพาะกิจ (Special Purpose Company: SPC) โดยมี Ito-Kogyo ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของตระกูลผู้ก่อตั้ง และถือครองหุ้น Seven & i Holdings ในสัดส่วนประมาณ 8% เป็นแกนนำในการเข้าซื้อหุ้นคืนทั้งหมด และนำออกจากตลาดหลักทรัพย์และกลับมาดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทเอกชนอีกครั้ง ทั้งนี้ Seven & i Holdings และ SPC ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินและกฎหมาย เพื่อกำกับดูแลกระบวนการดังกล่าวให้เป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนการ Go Private ยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากการเจรจายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ประกอบกับปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงสถานการณ์การเจรจากับ Alimentation Couche-Tard ที่ยังคงดำเนินอยู่
ก่อนหน้านี้ Alimentation Couche-Tard ได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการ Seven & i Holdings เป็นจำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมเสนอซื้อด้วยมูลค่า 6 ล้านล้านเยน แต่ถูกปฏิเสธจาก Seven & i Holdings เนื่องจากเห็นว่า "ประเมินมูลค่าบริษัทต่ำกว่าความเป็นจริง" ต่อมาในเดือนกันยายน Alimentation Couche-Tard ได้ยื่นข้อเสนอครั้งที่ 2 เพิ่มมูลค่าเป็น 7 ล้านล้านเยน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการอิสระของ Seven & i Holdings
[อนาคต 7-Eleven ญี่ปุ่น กับการต่อต้านการควบรวมกิจการ]
กรณีศึกษา Seven & i Holdings ตัดสินใจพิจารณาแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout) หรือ Go Private เพื่อต่อต้านการเข้าซื้อกิจการจาก Couche-Tard นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตและความซับซ้อนในแวดวงธุรกิจระดับโลก ถ้ามองกันในเชิงลึกในมิติต่างๆ ดังต่อไปนี้
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของกลยุทธ์ Go Private
ความสำเร็จของแผนการ Go Private ของ Seven & i Holdings ขึ้นอยู่กับการประสานสอดคล้องขององค์ประกอบเชิงกลยุทธ์ที่หลากหลาย
ประการแรก คือ ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมูลค่ามหาศาลจากสถาบันการเงิน ซึ่งต้องพิจารณาจากความน่าเชื่อถือ ศักยภาพในการเติบโต และแผนธุรกิจระยะยาวของ Seven & i Holdings
ประการที่สอง คือ การได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนสถาบัน ซึ่งต้องโน้มน้าวและสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นพ้องและสนับสนุนแผนการ Go Private
นอกจากนี้ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุนของสถาบันการเงิน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น
สุดท้าย กลยุทธ์การเจรจาต่อรองกับ Couche-Tard อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริง เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของ Seven & i Holdings และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ผลกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมค้าปลีก
ไม่ว่าผลลัพธ์ของกระบวนการนี้จะสิ้นสุดลงเช่นไร ย่อมก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมค้าปลีก ผู้ประกอบการรายอื่นๆในตลาดค้าปลีก จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด
ขณะเดียวกัน หาก Seven & i Holdings ประสบความสำเร็จในการ Go Private ย่อมนำไปสู่การปรับโครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการ และกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว กรณีศึกษาของ Seven & i Holdings อาจเป็นกรณีศึกษาสำคัญสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการต่อต้านการควบรวมกิจการ การรักษาเอกราช และการกำหนดทิศทางธุรกิจของตนเอง
บทสรุป กรณีศึกษา Seven & i Holdings นับเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาอัตลักษณ์และเอกราชทางธุรกิจ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และการแข่งขันที่รุนแรง กลยุทธ์ Go Private แม้มิใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลัง ซึ่งองค์กรธุรกิจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ ภายใต้การวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และการวางแผนอย่างรอบคอบ
ที่มา : Nikkei