Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เซเว่นฯ ญี่ปุ่นส่อปิดฉากขายหุ้นด้วยเทคโอเวอร์ตัวเอง 1.3 ล้านล้านบาท!!
โดย : มนันพัทธ์ ธนนันท์พร

เซเว่นฯ ญี่ปุ่นส่อปิดฉากขายหุ้นด้วยเทคโอเวอร์ตัวเอง 1.3 ล้านล้านบาท!!

14 พ.ย. 67
14:03 น.
|
280
แชร์

วงการธุรกิจทั่วโลกกำลังจับตามอง  "Seven & i Holdings" ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมค้าปลีกของญี่ปุ่น เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่คุ้นเคยกำลังตกเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อกิจการจาก "Alimentation Couche-Tard" บริษัทค้าปลีกจากแคนาดา เจ้าของร้านสะดวกซื้อ Circle K และ Couche-Tard

ท่ามกลางกระแสข่าวการต่อสู้กันอย่างดุเดือด Seven & i Holdings ได้งัดกลยุทธ์สุดท้าทาย ด้วยการประกาศแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout) หรือ  "Go Private"  ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทกลับมาเป็นบริษัทเอกชนอีกครั้ง

การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงธุรกิจเป็นอย่างมาก ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ และนัยยะสำคัญที่แฝงอยู่เบื้องหลัง  

บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังกลยุทธ์ และผลกระทบของกรณีศึกษา 7-Eleven ญี่ปุ่น และวิเคราะห์เชิงลึกต่อปรากฏการณ์การต่อต้านการควบรวมกิจการครั้งสำคัญนี้

เซเว่นฯ ญี่ปุ่น ส่อแววปิดฉากขายหุ้น ด้วยแผนเทคโอเวอร์ตัวเอง มูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท!!

Seven & i Holdings บริษัทเจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศญี่ปุ่น ประกาศว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout) จะส่งผลให้บริษัทกลับมาเป็นบริษัทเอกชนอีกครั้ง 

โดยรายงานข่าวจากทาง Nikkei  ระบุว่า ตระกูลผู้ก่อตั้ง Seven & i Holdings ได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด คาดการณ์ว่ามูลค่ารวมของธุรกรรมครั้งนี้อาจสูงถึง 6 ล้านล้านเยน หรือกว่า 1.3 ล้านล้านบาท

วัตถุประสงค์สำคัญในครั้งนี้ คาดว่า เพื่อปกป้องกันการเข้าซื้อกิจการจาก Alimentation Couche-Tard บริษัทค้าปลีกจากประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อ Circle K และ Couche-Tard ที่เคยแสดงความสนใจเข้าซื้อกิจการ Seven & i Holdings ในประเทศญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แผน Go Private ดังกล่าว ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย ทั้งในส่วนของผู้ถือหุ้น และสถาบันการเงินที่จะให้การสนับสนุนด้านเงินทุน ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้ประกาศหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์ของ Seven & i Holdings ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนจะกลับมาเปิดทำการซื้อขายอีกครั้ง ซึ่งราคาหุ้น Seven & i Holdings ได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 18% ทันที สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนต่อแผนการในครั้งนี้

แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าแผน Go Private ของ Seven & i Holdings จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่การตัดสินใจในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น และทั่วโลกอย่างแน่นอน

[เซเว่นฯ เดินหน้าสกัดแผนฮุบกิจการครั้งใหญ่ วางกลยุทธ์ Go Private ทุบสถิติญี่ปุ่น]

Seven & i Holdings บริษัทค้าปลีกชั้นนำของญี่ปุ่น เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven  ประกาศความพร้อมในการดำเนินกลยุทธ์ Go Private ด้วยแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout)  เพื่อป้องกันการเข้าซื้อกิจการจาก Alimentation Couche-Tard บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของแคนาดา

หากการซื้อกิจการคืนประสบผลสำเร็จ  ด้วยมูลค่าตลาดปัจจุบัน ณ วันพุธที่ผ่านมาสูงถึง 5.8 ล้านล้านเยน จะทำให้ดีลนี้กลายเป็นการซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น  ทำลายสถิติเดิมของ Taisho Pharmaceutical Holdings ที่ 710,000 ล้านเยนลงอย่างสิ้นเชิง

ด้วยกลยุทธ์สำคัญของ Seven & i Holdings คือ การจัดตั้งบริษัทเฉพาะกิจ (Special Purpose Company: SPC) โดยมี Ito-Kogyo ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของตระกูลผู้ก่อตั้ง และถือครองหุ้น Seven & i Holdings ในสัดส่วนประมาณ 8%  เป็นแกนนำในการเข้าซื้อหุ้นคืนทั้งหมด  และนำออกจากตลาดหลักทรัพย์และกลับมาดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทเอกชนอีกครั้ง  ทั้งนี้  Seven & i Holdings และ SPC ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินและกฎหมาย เพื่อกำกับดูแลกระบวนการดังกล่าวให้เป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส

อย่างไรก็ตาม  ความสำเร็จของแผนการ Go Private ยังคงมีความไม่แน่นอน  เนื่องจากการเจรจายังอยู่ในระยะเริ่มต้น  ประกอบกับปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ  รวมถึงสถานการณ์การเจรจากับ Alimentation Couche-Tard ที่ยังคงดำเนินอยู่

ก่อนหน้านี้  Alimentation Couche-Tard  ได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการ Seven & i Holdings  เป็นจำนวน 2 ครั้ง  โดยครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมเสนอซื้อด้วยมูลค่า 6 ล้านล้านเยน  แต่ถูกปฏิเสธจาก Seven & i Holdings เนื่องจากเห็นว่า "ประเมินมูลค่าบริษัทต่ำกว่าความเป็นจริง"  ต่อมาในเดือนกันยายน  Alimentation Couche-Tard ได้ยื่นข้อเสนอครั้งที่ 2  เพิ่มมูลค่าเป็น 7 ล้านล้านเยน  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการอิสระของ Seven & i Holdings

[อนาคต 7-Eleven ญี่ปุ่น กับการต่อต้านการควบรวมกิจการ]

กรณีศึกษา Seven & i Holdings ตัดสินใจพิจารณาแผนการซื้อกิจการคืนทั้งหมด (Management Buyout) หรือ Go Private เพื่อต่อต้านการเข้าซื้อกิจการจาก Couche-Tard นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตและความซับซ้อนในแวดวงธุรกิจระดับโลก ถ้ามองกันในเชิงลึกในมิติต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ปัจจัยแห่งความสำเร็จของกลยุทธ์ Go Private

ความสำเร็จของแผนการ Go Private ของ Seven & i Holdings ขึ้นอยู่กับการประสานสอดคล้องขององค์ประกอบเชิงกลยุทธ์ที่หลากหลาย  

ประการแรก คือ ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมูลค่ามหาศาลจากสถาบันการเงิน ซึ่งต้องพิจารณาจากความน่าเชื่อถือ ศักยภาพในการเติบโต และแผนธุรกิจระยะยาวของ Seven & i Holdings 

ประการที่สอง คือ การได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนสถาบัน ซึ่งต้องโน้มน้าวและสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นพ้องและสนับสนุนแผนการ Go Private 

นอกจากนี้ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ก็เป็นปัจจัยสำคัญ  เพราะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุนของสถาบันการเงิน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น  

สุดท้าย กลยุทธ์การเจรจาต่อรองกับ Couche-Tard อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริง เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของ Seven & i Holdings และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

  • ผลกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมค้าปลีก

ไม่ว่าผลลัพธ์ของกระบวนการนี้จะสิ้นสุดลงเช่นไร ย่อมก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมค้าปลีก ผู้ประกอบการรายอื่นๆในตลาดค้าปลีก จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด  

ขณะเดียวกัน หาก Seven & i Holdings ประสบความสำเร็จในการ Go Private ย่อมนำไปสู่การปรับโครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการ และกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว กรณีศึกษาของ Seven & i Holdings อาจเป็นกรณีศึกษาสำคัญสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการต่อต้านการควบรวมกิจการ การรักษาเอกราช และการกำหนดทิศทางธุรกิจของตนเอง

บทสรุป กรณีศึกษา Seven & i Holdings นับเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาอัตลักษณ์และเอกราชทางธุรกิจ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และการแข่งขันที่รุนแรง  กลยุทธ์ Go Private แม้มิใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลัง ซึ่งองค์กรธุรกิจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ ภายใต้การวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และการวางแผนอย่างรอบคอบ

ที่มา : Nikkei

แชร์

เซเว่นฯ ญี่ปุ่นส่อปิดฉากขายหุ้นด้วยเทคโอเวอร์ตัวเอง 1.3 ล้านล้านบาท!!