การล็อกดาวน์จากโควิด-19 และการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซ ได้สร้างความท้าทายให้กับอุตสาหกรรม ‘โลจิสติกส์’ เป็นอย่างมาก และเผยให้เห็นถึงความเปราะบางจากการพึ่งพาสถานที่ใดสถานที่หนึ่งมากเกินไป รวมถึงการมีซัพพลายเชนที่จำกัดทางภูมิศาสตร์
ทำให้หลายประเทศมองหาโอกาสนอกประเทศจีน ผ่านกลยุทธ์ ‘China Plus One’ หรือ ‘จีน +1’ กล่าวคือ คงสถานะในประเทศจีน แต่สร้างขีดความสามารถในประเทศอื่นด้วย หลายบริษัทต่างมองหาทางเลือกในเม็กซิโก และยุโรปมากขึ้น รวมถึง ’อาเซียน’ ที่กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ สําหรับการขยายธุรกิจ เนื่องจากข้อได้เปรียบที่น่าสนใจต่างๆ ดังนี้:
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็น ในการกระจายซัพพลายเชน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยังคงดำเนินอยู่ จากการสำรวจของ Eastspring Investments พบว่า 75% ของผู้นำธุรกิจเชื่อว่า การไม่ดำเนินการใดๆ จะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการปรับสมดุลใหม่ การขาดการสร้างความยืดหยุ่นเพิ่มเติม อาจทำให้กำไรลดลงถึง 19-24% ในอีก 10 ปีข้างหน้า
จากปัจจัยทั้งหลาย ‘ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย’ (DHL Global Forwarding Thailand) ผู้ให้บริการขนส่งในเครือ DHL Group จึงหันมาทำการขนส่งที่หลากหลายรูปแบบ หรือ ‘Multimodal’ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางถนน ทางอากาศ หรือทางทะเล ช่วยให้การขนส่งสินค้าเข้า-ออกประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว สะดวกสบาย และไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น
โดยศูนย์กลางการขนส่งระหว่างประเทศแบบมัลติโมดอล ‘DHL International Multimodal Hub’ มีขนาดพื้นที่ 480 ตารางเมตร ภายในศูนย์การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ที่เขตปลอดอากร 3 สนามบินสุวรรณภูมิ อำนวยความสะดวกด้านการค้า ด้วยมาตรการควบคุมทางศุลกากรที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับอุตสาหกรรมการขนส่ง และโลจิสติกส์ของประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค
วินเซนต์ ยง กรรมการผู้จัดการของ ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ประเทศไทย กล่าวว่า หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของ DHL International Multimodal Hub คือ การเป็นศูนย์กลางขนส่งแบบครบวงจรของ DHL ลูกค้าสามารถดำเนินกระบวนการศุลกากรได้อย่างรวดเร็วภายในกรุงเทพฯ ลดขั้นตอนการเดินทางเพื่อไปดำเนินการยังจุดชายแดน ทำให้สินค้าถึงมือผู้รับปลายทางได้เร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการขนส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ความสามารถในการขนส่งที่จำกัด อัตราค่าขนส่งทางทะเลและทางอากาศที่สูง รวมถึง การปิดท่าเรือและสนามบิน ได้ผลักดันให้ลูกค้าหันมาใช้การขนส่งทางถนนมากขึ้น ขณะนี้ เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว ลูกค้าก็ยังคงเห็นถึงความสำคัญของการขนส่งทางถนน โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน
บรูโน เซลโมนี รองประธานฝ่ายการขนส่งทางถนนและโซลูชันมัลติโมดอล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดีเอชแอล โกลบอล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง กล่าวว่า การขนส่งทางถนน มีบทบาทสำคัญในการขนส่งแบบ Multimodal โดยเฉพาะเมื่อต้องขนส่งสินค้าภายในภูมิภาคหรือกับประเทศจีน สามารถช่วยลดระยะเวลา ‘Door-to-Door’ (DTD) ได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล และมีต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งทางอากาศ
การพูดคุยเรื่องการขนส่งทางถนน กำลังเปลี่ยนประเด็นการพูดคุย จากเรื่องความเกี่ยวข้องกันและต้นทุนไปเป็นประเด็นอื่นๆ แต่ความท้าทายในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายจะช่วยให้การดำเนินงานมีความราบรื่นขึ้น ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนกำลังลงทุนพัฒนาโครงสร้างถนน
1. การขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัลและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ธุรกิจจำนวนมากต้องการความยืดหยุ่นในซัพพลายเชนมากกว่าเดิม ความต้องการแบบทันทีทันเหตุการณ์ และการได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานะการจัดส่งและสภาพถนน จึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น ซึ่งเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่พัฒนาแล้วของภูมิภาคอาเซียน ช่วยให้สามารถติดตามการขนส่งทางถนนแบบทันที (real-time) ผ่านเซ็นเซอร์และ GPS ทำให้ลูกค้าสามารถคาดการณ์ตำแหน่งและเวลาที่สินค้าจะมาถึงได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ ยังช่วยให้การขนส่งทางถนนและทางรถไฟมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ทั้งยังช่วยทำให้โซลูชัน Multimodal มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. นโยบายของรัฐบาลเพื่อการขนส่งข้ามพรมแดนที่ราบรื่น
โครงการต่างๆ เช่น ระบบการผ่านแดนของศุลกากรอาเซียน (ACTS) มุ่งลดปริมาณงานด้านเอกสารลง โดยในปี 2566 หน่วยงานศุลกากรของทั้ง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ให้การรับรองข้อตกลงว่าด้วยการรับรองสถานะผู้ดำเนินการเศรษฐกิจที่ได้รับอนุญาตของอาเซียน (AAMRA) สร้างสภาพแวดล้อมการค้าขายที่สม่ำเสมอ และโปร่งใสในหมู่ประเทศสมาชิก
โดย AAMRA ยึดมาตรฐานการรับรองของกรอบ SAFE ขององค์การศุลกากรโลก (WCO) เพื่อให้การเคลียร์สินค้าเร็วขึ้น และได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้ที่ได้รับการรับรอง AEO ในอาเซียน นอกจากนี้ บางประเทศยังดำเนินการภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมการเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามพรมแดนด้วย
3. วาระสำคัญของความยั่งยืนในการขนส่งทางถนน
รายงานของ International Data Corporation (IDC) ระบุว่า 45% ขององค์กรในเอเชียจะบูรณาการความยั่งยืนในซัพพลายเชน ภายในปี 2569 ซึ่งการขนส่งสินค้ารวมถึงรถบรรทุก เครื่องบิน เรือ และรถไฟนั้นมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 8% ของทั่วโลก แม้ว่าจะมีทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับการขนส่งทางถนน เช่น ยานพาหนะไฟฟ้า และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน แต่ในแนวทางปฏิบัติยังจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน