‘ศรณ์’ ร้านอาหารใต้ Fine Dining ชื่อดัง สร้างประวัติศาสตร์ คว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาวร้านแรกในไทย จากงานประกาศรางวัล มิชลิน ไกด์ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 (The MICHELIN Guide Thailand 2025)
หลังจากที่ มิชลิน ไกด์ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 ได้ประกาศร้านอาหารที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 462 แห่ง เป็นร้านที่ได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ 1 ร้าน, รางวัล ‘สองดาวมิชลิน’ 7 ร้าน, รางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ 28 ร้าน,รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ 156 ร้าน และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected อีก 270 ร้าน ในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดซึ่งเป็นฉบับที่ 8 ของไทย
โดยการประกาศรางวัลในครั้งนี้เป็นที่ฮือฮา เมื่อ ‘ศรณ์’ ได้คว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาวร้านแรกในไทยมาครอง
ศรณ์ ร้านอาหารใต้ที่ถ่ายทอดศิลปะการปรุงอาหารผ่านฝีมืออันเป็นเลิศ ตลอดจนการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างตำรับโบราณและนวัตกรรมสมัยใหม่ ทุกจานรังสรรค์ขึ้นอย่างประณีต พิถีพิถัน และลุ่มลึก นำเสนอประสบการณ์การรับประทานที่น่าตื่นเต้นและกลมกล่อมอย่างไม่มีที่ติ ก้าวสู่การเป็นร้านอาหารระดับตำนานในฐานะที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ มาครองเป็นร้านแรกในประเทศไทย
โดยศรณ์ ได้รับการจัดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2562 เป็นครั้งแรก โดยได้รับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ เพียงหนึ่งปีต่อมาก็ได้รับการเลื่อนระดับเป็นร้าน ‘สองดาวมิชลิน’ และสามารถครองสถานะระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปี การก้าวขึ้นคว้ารางวัลระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ ได้ในคู่มือฯ ฉบับปี 2568 นับเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นเลิศ คุณภาพ และความสม่ำเสมอ ที่ส่งผลให้ ศรณ์ เปลี่ยนสถานะจากร้านอาหารยอดเยี่ยมที่ควรค่าแก่การขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อแวะชิม กลายเป็นสุดยอดร้านอาหารที่ควรค่าแก่การเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรดั้นด้นเดินทางเพื่อไปชิมสักครั้ง
‘Sorn ศรณ์’ ร้านอาหารใต้ Fine Dining เจ้าของเป็นคนนครศรีธรรมราช นั้นก็คือ คุณศุภักษร จงศิริ หรือ เชฟไอซ์ ทายาท GEN 3 ของร้าน ‘บ้านไอซ์’ ร้าอาหารใต้รสจัด ที่เราเห็นกันบนห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ที่เปิดมานานกว่า 30 ปี
เชฟไอซ์ ไม่ได้เรียนหรือจบสถาบันด้านการทำอาหาร แต่การทำอาหารเกิดจากการเป็นลูกมือของคุณย่าที่คอยสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เชฟไอซ์มีการเข้าใจถึงวัตถุดิบ และขั้นตอนการทำอาหารใต้แบบดังเดิม
หลังจากเชฟไอซ์ได้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ก็ได้กลับมาฟื้นฟูร้านบ้านไอซ์ แต่ก็ยังคงมีความฝันที่อยากจะเปิดร้าน Fine Dining เป็นของตัวเอง อยากให้อาหารใต้ดังไปไกลระดับโลกบ้าง จึงเป็นที่มาของการเปิดร้านศรณ์ ร้านอาหารใต้สไตล์ Fine Dining
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการที่จะพาอาหารใต้ไปไกลระดับโลกมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาหารใต้ = รสจัด = เจาะกลุ่มลูกค้าได้แค่คนกินเผ็ด แต่เชฟไอซ์ได้คงคอนเซปต์รสชาติเผ็ดร้อนสไตล์ปักษ์ใต้ไว้ และตั้งใจไว้ว่าจะไม่มีการลดทอนรสชาติของอาหาร หากใครแพ้อาหารทะเลหรือทานเผ็ดไม่ได้ก็อาจจะไม่เหมาะกับการมาทานร้านนี้ และสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้แก่อาหาร คือต้องมองว่า อาหารคือศิลปะ อาหารต้องบอกเล่าเรื่องราว
ทำให้ทุกเมนูของร้านศรณ์ ยังคงถูกปรุงด้วยเครื่องครัวแบบดั้งเดิม และวิธีไทยโบราณ เช่น ใช้เตาถ่านเคี่ยวอาหารหรือใช้มือคั้นกะทิกันสดๆ วัตถุดิบเกือบทั้งหมดส่งตรงมาจากภาคใต้ และที่สำคัญคือมาจากชุมชนชาวประมงโดยตรง ส่งเครื่องบินมาทุกเช้า ไม่สต๊อคของเพื่อให้วัตถุยังคงมีความสดใหม่เสมอ
ซึ่งหากเราเคยได้ไปรับประทานร้านศรณ์ แล้วมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบ หรืออาหาร เชฟและพนักงานทุกคนสามารถอธิบายถึงต้นทางที่มาของวัตถุดิบได้ทุกชนิด
โดยล่าสุดทาง SPOTLIGHT ได้เช็คราคาคอร์สอาหารของร้านศรณ์ ในเว็ปไซต์ Table check ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มในการจองโต๊ะของร้านศรณ์ พบว่าตอนนี้ ราคา 1 คอร์ส อยู่ที่ 7,200 บาท / ท่าน (ไม่รวมภาษี)
จากการเปิดเผยของ มร.ปูลเล็นเนค ผู้ตรวจสอบของ ‘มิชลิน ไกด์’ พบว่ามีร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้านอาหารเหล่านี้ดำเนินการโดยเชฟผู้มีความสามารถชาวไทย ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เคยผ่านประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศ และ/หรือ ศึกษาศาสตร์การทำอาหารสไตล์ตะวันตก โดยเชฟเหล่านี้ริเริ่มก่อตั้งธุรกิจร้านอาหารในจังหวัดบ้านเกิดของตนเอง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำเสนออาหารไทยดั้งเดิมในรูปแบบที่ทันสมัยและดูน่าสนใจ ส่งผลให้ “อาหารไทยร่วมสมัย” ก้าวข้ามขีดจำกัดที่มีอยู่เดิม
อุตสาหกรรมร้านอาหารหรูประเภท ‘ไฟน์ ไดนิ่ง’ (Fine Dining) ในไทย ยังดึงดูดเชฟชาวต่างชาติจากทั่วโลกให้เข้ามาทำงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเชฟท้องถิ่น และมีบทบาทในการฝึกฝนทีมงานร้านอาหารรุ่นใหม่ อีกทั้งประเด็นเรื่องความยั่งยืนและการจัดหาวัตถุดิบภายในท้องถิ่นยังได้รับความสนใจแพร่หลายมากขึ้นในไทย โดยเชฟใส่ใจเลือกใช้วัตถุดิบภายในท้องถิ่นมากขึ้นและประสานความร่วมมือกับผู้ผลิตรายย่อยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แนวโน้มดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้เชฟท้องถิ่นริเริ่มนำเสนอสิ่งใหม่และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่ามีภัตตาคารสไตล์เรียบง่ายและร้านอาหารขนาดเล็กจำนวนหนึ่งถ่ายทอดสูตรอาหารจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพื่อรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวและรสชาติดั้งเดิมเอาไว้ ภัตตาคารและร้านอาหารประเภทดังกล่าวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะประเทศที่สามารถหาอาหารคุณภาพเยี่ยมหลากรูปแบบทานได้ในราคาสบายกระเป๋า
โดย เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก ได้แสดงความเห็นว่า “การที่ประเทศไทยมีร้านอาหารได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ เป็นร้านแรก ทำให้ปี 2568 เป็นปีสำคัญของไทยในหน้าประวัติศาสตร์แวดวงอาหารระดับสากล รายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความรุ่มรวยและหลากหลายของอาหารไทย แต่ยังแสดงให้เห็นว่าศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารการกินของไทยโอบรับวัฒนธรรม ความทันสมัย และเทรนด์ใหม่ ๆ เอาไว้อย่างลงตัว”
ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 มีร้านอาหารคว้ารางวัลระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เพิ่มขึ้นเพียงร้านเดียว โดยได้รับการเลื่อนระดับจาก ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ คือ โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค ร้านอาหารที่นำเสน่ห์แห่งรสชาติจากเฟรนช์ริเวียราสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ผสานกลิ่นอายจากเมดิเตอร์เรเนียน ฝรั่งเศส และอิตาลี ทุกจานอาหารรังสรรค์ด้วยเทคนิคอันล้ำสมัยจากวัตถุดิบตามฤดูกาลที่ดีที่สุดในแต่ละวันเพื่อสร้างสรรค์เมนูอันเป็นเอกลักษณ์
สำหรับร้านอาหาร บ้านเทพา, เชฟส์เทเบิล, กา, เมซซาลูน่า, อาหาร และซูห์ริง ยังคงครองสถานะ ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้ ทำให้ประเทศไทยมีร้านระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ จำนวนทั้งสิ้น 7 ร้าน
สำหรับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ ซึ่งมีร้านใหม่ติดโผ 5 ร้าน ในจำนวนนี้ 4 ร้านได้รับการจัดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย เป็นครั้งแรก ส่วนอีก 1 ร้านได้รับการเลื่อนระดับจากร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected
ร้านใหม่ระดับ ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ ที่ติดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย เป็นครั้งแรก ได้แก่
ร้านใหม่ระดับ ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ ที่เลื่อนระดับจากร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected เพียงหนึ่งเดียว คือ โคด้า ร้านอาหารที่เชิดชูแก่นแท้ของอาหารไทยท้องถิ่นพร้อมผสมผสานเทคนิคสมัยใหม่เพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครทุกเทสติงเมนูรังสรรค์อย่างประณีต อัดแน่นไปด้วยรสชาติที่ละเอียดอ่อนและมีมิติอย่างล้ำลึก
นอกจาก พรุ, ฮาโอมา และ จำปา ซึ่งครองรางวัล MICHELIN Green Star หรือ “ดาวมิชลินรักษ์โลก” ที่มอบให้กับร้านอาหารซึ่งดำเนินกิจการและมีแนวปฏิบัติประจำวันด้านการประกอบอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว ยังมีร้านอาหารร่วมครองรางวัลนี้อีก 1 ร้านในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 ได้แก่ บ้านเทพา ร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่เชฟและทีมงานไม่เพียงทุ่มเทใส่ใจในเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ปลูกสมุนไพรและดอกไม้กินได้ในสวนหลังร้าน, เลือกใช้วัตถุดิบจากผู้ผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, เปลี่ยนขยะอาหารเป็นปุ๋ย ตลอดจนรังสรรค์อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ก่อให้เกิดขยะ แต่ยังริเริ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนชุมชนให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมของเชฟและทีมงานยังคงแข็งแกร่งแม้ต้องฟันฝ่าช่วงเวลาที่ยากลำบากจึงสมควรได้รับการยกย่องในความมุ่งมั่นอุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อม