Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทำไม Birkenstock ถึงฮิต? แพงแค่ไหนก็ห้ามโดนน้ำ!
โดย : ปาณิสรา สุทธิกาญจนวงศ์

ทำไม Birkenstock ถึงฮิต? แพงแค่ไหนก็ห้ามโดนน้ำ!

18 ธ.ค. 67
17:08 น.
|
115
แชร์

หลายคนอาจจะรู้จักแบรนด์รองเท้าเเตะ Birkenstock จากการที่เหล่าคนดัง ทั้งในประเทศไทยเเละต่างประเทศต่างใส่กันในวันชิวๆ เเต่รู้หรือไม่?Birkenstock เริ่มต้นจาก ช่างปะรองเท้าประจำหมู่บ้านในเยอรมัน เมื่อ 250 ปีที่เเล้ว สู่แบรนด์รองเท้าที่มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

ซึ่งเรื่องราวของ Birkenstock  มีความน่าสนใจ ทั้งตัวสินค้าที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย เรียกว่า เป็นรองเท้าแบรนด์แรกๆ ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระเท้าของทุกคน จากคําถามที่ว่า “ทำไมรองเท้าต้องมีรูปทรงเหมือนกัน ในขณะที่อุ้งเท้าของเราก็มีส่วนเว้า ส่วนโค้งไม่เท่ากัน”

บทความนี้ SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมา รู้จัก Birkenstock แบรนด์รองเท้าแตะสุดเก๋ ที่โดนน้ำ โดนฝนไม่ได้ ราคาเริ่มต้นก็กว่า 3,000 บาท เเต่ทําไมกลับได้รับความนิยม

Birkenstock เเบรนด์รองเท้าเเตะที่เริ่มต้นจาก ช่างปะรองเท้าประจำหมู่บ้าน

ย้อนกลับไปรองเท้า Birkenstock ได้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 250 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี 1774 โดย Johannes Birkenstock ชาวเยอรมันนี ที่ประกอบอาชีพเป็นช่างปะรองเท้าประจำหมู่บ้าน

ในอดีต ณ ประเทศเยอรมัน ถ้าคุณไม่ใช่คนรวย คุณก็จะต้องใส่รองเท้าคู่นั้นไปตลอดชีวิต และหากถ้าคุณมีฐานะยากจน รองเท้าจะเปรียบเหมือนมรดกที่ถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นเลยทีเดียว นั่นจึงทำให้อาชีพช่างทำรองเท้าถือว่า มีความสำคัญมาก ธุรกิจซ่อมรองเท้าของ Birkenstock ก็ได้ถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นเช่นกัน 

จุดเปลี่ยนสำคัญของ Birkenstock คือ เมื่อปี 1897 ตอนที่ทายาทรุ่นเหลนของ Birkenstock นั่นคือ Konrad Birkenstock ได้มารับช่วงต่อและปิ๊งไอเดียว่า “ทำไมรองเท้าต้องมีรูปทรงเหมือนกัน ในขณะที่อุ้งเท้าของเราก็มีส่วนเว้า ส่วนโค้งไม่เท่ากัน” ทำให้เขาได้คิดค้น พื้นรองเท้า ที่มีความยืดหยุ่น ตามหลักสรีรศาสตร์ และที่สำคัญคือรูปทรงต้องถูกปรับโค้งมน เพื่อให้รับกับรูปเท้า

ซึ่งก็นับว่า สิ่งที่ Konrad คิดเป็นเรื่องแปลกใหม่ในเวลานั้น อะไร คือ หลักสรีรศาสตร์ ทำไมเราต้องใส่รองเท้าเพื่อสุขภาพ ? นั้นทำให้ เขาได้เปิดคอร์สให้ความรู้ เกี่ยวกับการดูแลเท้า เช่น การเดินให้ถูกต้อง การหมุนเวียนของเลือดตรงบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งต่อมา Carl Birkenstock ลูกชายของ Konard ได้รวบรวมทฤษฎีและ แนวคิดของศาสตร์การดูแลเท้า ไว้บนหนังสือ Podiatry –The Carl Birkenstock System 

โดย Carl ได้พัฒนา ออกแบบรองเท้า Birkenstock ใหม่เรื่อยๆ ตามหลักสรีรศาสตร์ จนเมื่อปี  1963 รองเท้าแตะรุ่น Madrid ที่เป็นสายคาดอันเดียว ในแบบที่เราคุ้นตากันจนถึงตอนนี้ ก็ถือกำเนิดขึ้น นับว่าเป็นรุ่นซิกเนเชอร์ของ Birkenstock เลยก็ว่าได้  

ความสําเร็จของ Birkenstock

ความสำเร็จของ Birkenstock เกิดขึ้นจาก หญิงสาวอเมริกัน ที่ชื่อ มาร์โกต์ เฟรเซอร์ เธอได้ซื้อรองเท้าแตะ Birkenstock ระหว่างท่องเที่ยวที่เยอรมัน แต่เธอกลับค้นพบว่ารองเท้าแตะที่เธอซื้อไป ใส่สบายมาก และเห็นโอกาสว่า รองเท้าแบรนด์นี้น่าจะสามารถประสบความสำเร็จในสหรัฐฯ ได้  เฟรเซอร์จึงติดต่อขอสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่าย Birkenstock ในสหรัฐฯ

เมื่อเข้าสู่สหรัฐฯ รองเท้าแตะ Original Birkenstock-Footbed Sandal ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัฒนธรรมย่อยต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกฮิปปี้ก่อนที่ในปี 1973 จะผลิตรองเท้ารุ่น Arizona ที่กลายเป็นรองเท้ารุ่นขายดีที่สุดของ Birkenstock จนถึงทุกวันนี้ 

ช่วงเวลาในปี 2013 แบรนด์ Birkenstock ประสบความสำเร็จอย่างมากค่ะเติบโตเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แบบเต็มตัว ซึ่งปัจจุบัน Birkenstock มีขายอยู่ใน 100 ประเทศ ดีไซน์มามากกว่า 800 รูปแบบ มีพนักงานกว่า 5,500 คนทั่วโลก และแค่ในปี 2019 ทาง Financial Times ของอังกฤษก็รายงานว่าทางแบรนด์ผลิตรองเท้าไปเกือบ 24 ล้านคู่ในปีเดียว ส่วนปี 2023 Birkenstock ได้มีการเสนอขายหุ้น IPO เป็นครั้งแรก ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และสามารถทำรายได้ถึง 1.49 พันล้านยูโร หรือราว 5.6 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

 ราคาของรองเท้าเเตะ Birkenstock เเลกมากับคุณภาพ

ถ้าใครเคยซื้อรองเท้า Birkenstock ก็อาจจะบอกว่า นี่เป็นรองเท้าแตะที่ราคาสูงเอาการเลยทีเดียว  ส่วนราคาก็เริ่มต้น ประมาณ 3,000-7,000 กว่าบาท คำถามถือ ทำไมถึงแพง มีอะไรเป็นจุดแข็งสำคัญ ?

Birkenstock จัดว่าเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพความ Unique ของเค้าจะอยู่ตรงที่รูปทรงรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครตรง Footbed หรือพื้นรองเท้า ที่เค้าจะออกแบบตามรอยเท้าธรรมชาติของคนเราให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับสรีระเท้าของเรา นั้นก็เลยทําให้ผู้ใส่รู้สึกสวมใส่สบาย ไม่ปวดเท้า เนื่องจากพื้นรองเท้ามีร่องส่วนลึกเเละส่วนนูน

โดยพื้นรองเท้าก็มีอยู่ 4 ชั้น  และแต่ละชั้นก็มาจากวัสดุแตกต่างกัน 

  • ชั้นแรก: ทำมาจากปอกระเจา จุกไม้ก๊อกธรรมชาติ และแกนน้ำยาง
  • ชั้นที่สอง: ทำจากจุกไม้ก๊อกและยางพาราที่เป็นหัวใจสําคัญ เพราะทำให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถดูดซับแรงกระแทก รองรับเท้า และบรรเทาแรงกดที่เท้า แถมวัสดุธรรมชาตินี้จะป้องกันความร้อนและความเย็นเพื่อสร้างอุณหภูมิที่เหมาะสมให้กับเท้าของเรา 
  • ชั้นที่สาม: ตัวรองเท้าจะนำปอกระเจาวางไว้รอบๆ ด้านข้างของฐานเท้าอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้จะเพิ่มความยืดหยุ่นของฐานเท้าและทําให้รองเท้าทนทานมากขึ้น
  • ชั้นที่สี่: รองเท้าจะใช้ซับหนังนิ่มที่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นของฝ่าเท้า ซึ่งวัสดุชั้นบนสุดคุณภาพสูงนี้ช่วยการันตีว่าจะไม่เกิดความอับชื้นบริเวณฝ่าเท้าของเรา

จุดเด่นอีกอย่างก็คือ พื้นรองเท้าจะทำมาจาก “ไม้คอร์ก” ที่จะแตกต่างจากรองเท้าแบรนด์อื่น ๆ ด้วยความที่พื้นรองเท้าทำมาจาก “ไม้คอร์ก” ไม่ได้ออกแบบมาให้โดนน้ำ หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้พื้นผิวแห้งและหลุดลอกได้ง่าย  

แชร์
ทำไม Birkenstock ถึงฮิต? แพงแค่ไหนก็ห้ามโดนน้ำ!