นิสสันและฮอนด้าได้ประกาศแผนการควบรวมกิจการภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น โดยทั้งสองบริษัทได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งเปิดทางให้มีการเจรจาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการผ่านบริษัทโฮลดิง และถ้าหากการรวมกิจการของนิสสันและฮอนด้าสำเร็จ พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก
สำหรับมิตซูบิชิ ซึ่งนิสสันถือหุ้น 24% อยู่ในขณะนี้ มีกำหนดจะประกาศว่าจะเข้าร่วมการควบรวมกิจการหรือไม่ภายในสิ้นเดือนมกราคม 2024
เจสสิกา คอลด์เวลล์ หัวหน้าฝ่ายข้อมูลเชิงลึกจากบริษัท Edmunds ซึ่งเป็นวิจัยและข่าวสารอุตสาหกรรมยานยนต์ เปิดเผยก่อนหน้านี้กับ USA Today ว่า การรวมกิจการของนิสสันและฮอนด้านั้นมีเหตุผลที่สมเหตุสมผล แต่การรวมกิจการจะเป็นกลยุทธ์ระยะยาว ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาในระยะสั้นที่แต่ละบริษัทกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้
ทั้งนิสสันและฮอนด้ากำลังวางตำแหน่งตัวเองเพื่ออนาคต ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์อัตโนมัติ และการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
สำหรับปัญหาที่บริษัททั้งสองกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ คือการแข่งขันด้านราคาจาก Tesla และ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ยิ่งเพิ่มความกดดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นต้องเร่งปรับตัว ตลาด EV ของจีนซึ่งครองส่วนแบ่งเกือบ 70% ของยอดขายทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กลายเป็นสนามรบที่ดุเดือดสำหรับแบรนด์ดั้งเดิมอย่างฮอนด้าและนิสสัน
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยประกาศจะดำเนินมาตรการที่เข้มงวดกับรถยนต์นำเข้า รวมถึงการเรียกเก็บภาษีถึง 25% จากรถยนต์ที่นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งทั้งสองบริษัทมีโรงงานในเม็กซิโก และฮอนด้ามีโรงงานในแคนาดา
เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมยานยนต์คาดการณ์ว่า ทรัมป์อาจเรียกร้องให้มีการประนีประนอมจากทั้งฮอนด้าและนิสสัน ก่อนที่จะอนุมัติข้อตกลงใดๆก็ตา โดยในช่วงการดำรงตำแหน่งครั้งแรกของเขา ทรัมป์เคยขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีจากรถยนต์ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นมาแล้ว