ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ทำให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกได้อานิสงส์อย่างมาก บริษัทเทคโนโลยีไม่ได้เพียงแค่รายใหญ่เท่านั้น การมาของ DeepSeek ที่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่ายิ่งสร้างแรงสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมนี้อย่างมาก
ข้อมูลจากการ์ทเนอร์พบว่า ในปี 2567 รายได้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 626 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.1% จากปี 2566 พร้อมคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับงาน AI และ generative AI ทำให้ดาตาเซ็นเตอร์กลายเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากสมาร์ทโฟน รายได้เซมิคอนดักเตอร์ในกลุ่มดาตาเซ็นเตอร์มีมูลค่ารวมที่ 112 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 โดยเฉพาะชิป GPUs และโปรเซสเซอร์ AI ที่ใช้ในแอปพลิเคชันของดาตาเซ็นเตอร์
นี่จึงส่งผลต่ออันดับรายได้และการเติบโตของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยมีผู้ผลิต 11 รายที่เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และมีเพียง 8 ราย จาก 25 อันดับแรกที่มีรายได้ลดลงในปีที่ผ่านมา
Samsung Electronics กลับมาครองอันดับหนึ่ง
ในปี 2567 การ์ทเนอร์พบว่าผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 9 จาก 10 อันดับแรกนั้นมีรายได้เติบโตเป็นบวก และการจัดอันดับ Top 10 มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
อันดับ 1 Samsung Electronics กลับมาครองอันดับ 1 แทน Intel และเพิ่มช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นในปี 2567 โดยบริษัทฯ ได้แรงหนุนมาจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของราคาอุปกรณ์หน่วยความจำหรือ Memory Devices ส่งผลให้มีรายได้รวมที่ 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯครองส่วนแบ่งตลาด 10.6% และเติบโตจากปีก่อนถึง 62.5%
อันดับ 2 Intel เลื่อนมาอยู่อันดับ 2 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทในกลุ่ม AI PCs และ Core Ultra Chipset ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ AI accelerator รวมถึงการเติบโตในธุรกิจ x86 ที่ยังมีไม่มากนัก ส่งผลให้รายได้เซมิคอนดักเตอร์ของ Intel เติบโตเล็กน้อยเพียง 0.1% ในปี 2567 ส่วนแบ่งตลาด 7.9%
อันดับ 3 NVIDIA ยังคงมีผลการดำเนินงานโดดเด่น บริษัทฯ มีรายได้เซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นถึง 84% ในปี 2567 คิดเป็นมูลค่ารวม 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจ AI ครองส่วนแบ่งตลาด 7.3%
อันดับที่ 4 SK hynix ด้วยรายได้ 42,824 ล้านดอลลาร์ และส่วนแบ่งตลาด 6.8% โดยมีอัตราการเติบโตสูงสุดในกลุ่มบริษัท 10 อันดับแรกที่ 86.0%
อันดับที่ 5 Qualcomm มีรายได้ 32,358 ล้านดอลลาร์ ส่วนแบ่งตลาด 5.2% และเติบโต 10.7% จากปีก่อน
อันดับที่ 6 Micron Technology ด้วยรายได้ 27,843 ล้านดอลลาร์ ส่วนแบ่งตลาด 4.4% และอัตราการเติบโตสูงถึง 72.7%
อันดับที่ 7 Broadcom มีรายได้ 27,641 ล้านดอลลาร์ ส่วนแบ่งตลาด 4.4% และเติบโต 7.9%
อันดับที่ 8 คือ AMD ซึ่งรายได้อยู่ที่ 23,948 ล้านดอลลาร์ ส่วนแบ่งตลาด 3.8% และเติบโต 7.4%
อันดับที่ 9 คือ Apple มีรายได้ 18,880 ล้านดอลลาร์ ส่วนแบ่งตลาด 3.0% แต่มีอัตราการเติบโตเพียง 4.6%
อันดับที่ 10 Infineon Technologies มีรายได้ 16,001 ล้านดอลลาร์ ส่วนแบ่งตลาด 2.6% และเป็นบริษัทเดียวใน 10 อันดับแรกที่มีอัตราการเติบโตติดลบ โดยลดลง -6.0% เมื่อเทียบกับปี 2023
สำหรับในปี 2568 การ์ทเนอร์ระบุว่า ชิป HBM จะมีสัดส่วนเป็น 19.2% ของรายได้จากชิปกลุ่ม DRAM โดยเพิ่มจาก 13.6% ในปีที่แล้ว รายได้จากหน่วยความจำ (Memory) เติบโต 71.8% ในปี 2567 หรือคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 25.2% ของยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด ขณะที่รายได้ชิป DRAM เพิ่มขึ้น 75.4% ส่วนรายได้หน่วยความจำประเภท NAND เพิ่มขึ้น 75.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) มีส่วนสำคัญต่อรายได้ของผู้ผลิตชิป DRAM โดยรายได้ชิป HBM มีสัดส่วน 13.6% ของรายได้ชิป DRAM ทั้งหมดในปี 2567 ส่วนรายได้ Nonmemory เพิ่มขึ้น 6.9% ในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 74.8% ของรายได้เซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดในปี 2567
Memory และ AI semiconductors จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะสั้น โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าตลาดชิป HBM จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 19.2% ของชิป DRAM ในปี 2568 และคาดว่ารายได้ชิป HBM จะเพิ่มขึ้น 66.3% ในปี 2568 มีมูลค่าแตะ 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่มา: การ์ทเนอร์