จากปัญหาเรื้อรังของ ขสมก. ขาดทุนสะสมมหาศาลจากปัญหาผูกขาดเดินรถเพียงรายเดียว ทำให้รถเมล์และเส้นทางไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปฏิรูปปี 2559 เปิดให้เอกชนร่วมประมูลเดินรถ ตั้งเป้า 267 เส้นทางในปี 2567 นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ไทยสมายล์บัส (TSB) เป็นหนึ่งในเอกชนหลักที่เข้าร่วมขับเคลื่อนขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ไทยสมายล์บัส หนึ่งในผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะรายใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่กำลังมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงระบบขนส่งมวลชนของไทยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคการขนส่ง โดยทาง ไทยสมายล์บัส มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสู่การขนส่งที่ยั่งยืนในประเทศไทย ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยี EV และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด บริษัทฯ กำลังสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับอุตสาหกรรมขนส่ง และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ไทยสมายล์บัส (TSB) เริ่มให้บริการในปี 2564 ด้วยสาย 35 พระประแดง-สายใต้ใหม่ ภายใต้ บริษัท บี.บี.ริช (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเคยเป็นผู้ให้บริการร่วมกับ ขสมก. โดยมีสาย ปอ.7 และสาย 8 เดิม (แฮปปี้แลนด์-สะพานพุทธ) เป็นเส้นทางสร้างรายได้หลัก ปัจจุบัน TSB ให้บริการ 9 เส้นทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้ใบอนุญาต 7 ปีจากกรมการขนส่งทางบก0%
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 TSB ได้เริ่มให้บริการเต็มรูปแบบใน 5 เส้นทาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะสาย 140 เดิม (4-23E) แสมดำ – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ทางด่วน) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มความถี่ในการปล่อยรถเป็น 10 นาที/คัน ในช่วงเย็น และจะเพิ่มจำนวนรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าและรอบการให้บริการอย่างต่อเนื่องจนถึง 6 พฤศจิกายน เพื่อให้มั่นใจว่ามีรถเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ทาง ไทยสมายล์บัส ยังมีธุรกิจเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นอย่างมาก
จากข้อมูลของ ขสมก. พบว่ามีผู้ใช้บริการรถประจำทางกว่า 4.3 แสนคนต่อวัน (ปี 2562) แต่คุณภาพการบริการยังไม่เป็นที่น่าพอใจ TSB จึงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริการรถโดยสารสาธารณะให้สะดวก ปลอดภัย สะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้บริการและประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
จากการวิเคราะห์ผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี และข้อมูลล่าสุดของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ภายใต้การบริหารของไทย สมายล์ กรุ๊ป (TSB) พบว่าบริษัทกำลังเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจาก
นอกจากนี้ บริษัท ไทย สมายล์ บัส ยังนำเงินไปลงทุนในการพัฒนาธุรกิจและขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการดำเนินงานที่สำคัญเช่น
จากแผนการดำเนินงานข้างต้น จะเห็นได้ว่าบริษัท ไทย สมายล์ กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การขยายการให้บริการ และการปรับปรุงคุณภาพการบริการ ซึ่งหากบริษัทสามารถดำเนินการตามแผนได้สำเร็จ ก็มีโอกาสที่จะสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์และสร้างผลกำไรได้ในอนาคต
บริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการใช้รถโดยสารปรับอากาศพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับคุณภาพการเดินทางของประชาชน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากปัญหามลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ในเขตเมืองปัจจุบัน บริษัทฯ ให้บริการรถโดยสารจำนวน 2,500 คัน ซึ่งประกอบด้วยรถโดยสารไฟฟ้า (EV) จำนวน 2,017 คัน และรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 483 คัน ครอบคลุมเส้นทางให้บริการ 123 เส้นทางทั่วกรุงเทพมหานคร ตามใบอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับพนักงานกว่า 3,000 คน
จากความมุ่งมั่นในการพัฒนาขนส่งมวลชนไทยสู่ระบบพลังงานไฟฟ้า 100% เพื่อลดมลพิษทางอากาศและส่งเสริมสุขภาพของประชาชน เครือไทยสมายล์กรุ๊ปและพันธมิตรประสบความสำเร็จในการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากโครงการ "Bangkok E-Bus Programme" ซึ่งเป็นโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลก ภายใต้ความตกลงปารีส Article 6.2
การซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ โดยมี Klik Foundation เป็นผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อนำไปลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสวิตเซอร์แลนด์ ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ และพนักงานทุกคนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนี้
แม้จะเป็นบริษัทเอกชน แต่ไทยสมายล์กรุ๊ปยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการ ความปลอดภัย และการรักษาสิ่งแวดล้อม ตามปณิธาน "เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม"
บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนรถโดยสารไฟฟ้าอีก 1,083 คัน ภายในปีปีนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 3,100 คัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการขนส่งสาธารณะ ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 248,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 24.8 ล้านต้น
ไทยสมายล์บัส ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบขนส่งมวลชนของไทย ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการขนส่งที่ยั่งยืน บริษัทฯ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับอุตสาหกรรมขนส่ง
การเดินทางของไทยสมายล์บัสยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนรถโดยสารไฟฟ้าให้ครบ 3,100 คันภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมหาศาล และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย
ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการให้บริการที่ใส่ใจทั้งผู้โดยสารและสิ่งแวดล้อม ไทยสมายล์บัสจึงเป็นมากกว่าผู้ให้บริการรถโดยสาร แต่เป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการอื่นๆ ในการร่วมสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
ประวัติรถเมล์กรุงเทพฯ เริ่มต้นราวปี 2450 โดยพระยาภักดีนรเศรษฐ (นายเลิศ เศรษฐบุตร) ซึ่งแต่เดิมใช้ม้าลากจูง ต่อมาในปี 2456 จึงเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดแทน รถเมล์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว กิจการของ "บริษัทรถเมล์ขาว" จึงขยายตัว เมื่อมีการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ ในปี 2475 เชื่อมฝั่งพระนครและธนบุรี กิจการรถเมล์ก็ยิ่งเติบโตขึ้น ในปี 2476 มีผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาสู่ธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงในธุรกิจรถเมล์ รัฐบาลจึงต้องออกกฎหมายควบคุม ในช่วงหลัง การบริการรถเมล์เริ่มมีปัญหา ประกอบกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้หลายบริษัทประสบปัญหาขาดทุน จึงนำไปสู่การรวมกิจการรถโดยสารประจำทางทั้งหมดเข้าด้วยกัน
ในปี พ.ศ. 2518 คณะรัฐมนตรีมีมติให้รวมกิจการรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพมหานครเป็นบริษัทเดียว แต่เนื่องจากติดขัดปัญหาทางกฎหมาย จึงได้มีการจัดตั้ง "องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ" (ขสมก.) ขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2519 โดยมีภารกิจหลักในการให้บริการรถโดยสารสาธารณะแก่ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ
ขสมก. มีรถโดยสารให้บริการหลากหลายประเภท รวมทั้งสิ้น 14,336 คัน (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560) ประกอบด้วยรถโดยสารของ ขสมก. เอง ได้แก่ รถธรรมดา 1,543 คัน, รถปรับอากาศ 1,011 คัน, และรถเช่า (PBC) 117 คัน นอกจากนี้ ยังมีรถโดยสารร่วมบริการจากภาคเอกชนอีก 3,478 คัน, รถมินิบัส 966 คัน, รถเล็ก (ให้บริการในซอย) 2,139 คัน, รถตู้โดยสารปรับอากาศ 4,946 คัน และรถตู้ CNG ที่ให้บริการเชื่อมต่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 136 คัน
ที่มา thaismilebus และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ