นันยาง แบรนด์รองเท้าคู่ใจคนไทย ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 7 ทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน หรือวัยพักผ่อน ก็มีรองเท้านันยางเป็นเพื่อนคู่ใจเสมอ จากรองเท้าผ้าใบสุดฮิตในยุค 80-90s สู่รองเท้าแตะคู่โปรดของทุกคน รองเท้านันยางไม่เพียงแต่เป็นรองเท้าที่ทนทานและใช้งานได้หลากหลาย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำและวัฒนธรรมของคนไทยอีกด้วย
ในบทความนี้ SPOTLIGHT เราจะพาคุณไปสำรวจเส้นทางกว่า 70 ปีของรองเท้านันยาง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ในปี พ.ศ. 2491 จนถึงการเป็นแบรนด์รองเท้าชั้นนำของประเทศไทยในปัจจุบัน เราจะเจาะลึกถึงเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จของนันยาง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และวิสัยทัศน์ในการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
"นันยาง" ไม่ใช่แค่แบรนด์รองเท้า แต่คือส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยมาหลายยุคสมัย เรียกได้ว่าเป็นรองเท้าคู่ใจคนไทย กว่า 70 ปี จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะรองเท้าผ้าใบคู่ใจวัยเรียน หรือรองเท้าแตะคู่โปรดวันสบาย ๆ นันยางก็อยู่เคียงข้างเรามาเสมอ และหาก ย้อนกลับไปยุค 80-90s รองเท้าผ้าใบนันยางคือไอเท็มสุดฮิตประจำโรงเรียน ใคร ๆ ก็ต้องมี ด้วยความอึด ทน ใส่ลุยได้ทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะสวมส้น ทับส้น หรือใส่เล่นกีฬา นันยางเอาอยู่หมด แถมยังกลายเป็นเทรนด์แฟชั่นสุดเก๋ ยิ่งเก่ายิ่งเท่ ใครไม่เคยใส่ถือว่าเอาท์! ไม่เพียงเท่านั้น รองเท้าแตะนันยาง หรือที่รู้จักกันในชื่อ "รองเท้าแตะช้างดาว" ก็ฮอตไม่แพ้กัน ด้วยเอกลักษณ์สีขาวตัดน้ำเงิน ใส่ง่าย เข้าได้กับทุกชุด แถมยังทนทานเกินราคา คุ้มค่าสุดๆ เรียกว่าเป็นรองเท้าแตะคู่ใจคนไทยและชาวต่างชาติ ที่บอกต่อกันปากต่อปาก จนเคยขาดตลาดมาแล้ว! ดังนั้นในวันนี้เรามาร่วมเดินทางเพื่อไปพบกับเรื่องราวความเป็นมาของรองเท้านันยาง แบรนด์ที่ไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทยอย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้นของ รองเท้า "นันยาง" ให้ย้อนหกลับไป ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ราวปีพุทธศักราช 2460 มีเด็กชาววัย 15 ปี จากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน นาม ซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล เดินทางสู่สยามพร้อมบิดา โดยมีสัมภาระเพียงเสื่อและหมอนติดตัวมา เมื่อเดินทางถึงสยาม ท่านได้เริ่มต้นการทำงานด้วยการขายเหล็กในโรงงานของคุณอา ก่อนที่จะสั่งสมประสบการณ์จนได้เป็น หลงจู๊ ในโรงไม้จินเส็ง ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ใกล้กับวัดตะเคียน (ปัจจุบันคือวัดมหาพฤฒาราม) ณ ที่แห่งนี้ ท่านได้พบรักและสมรสกับคุณบุญสม บุญยนิตย์ หญิงสาวไทยเชื้อสายจีนจากอยุธยา ทั้งสองมีบุตรธิดารวม 9 คน ซึ่งเป็นทายาทสืบสกุล ซอโสตถิกุล รุ่นที่ 2
ต่อมาในปี 2478 คุณวิชัยตัดสินใจครั้งสำคัญในการสร้างฐานะของตนเอง โดยเช่าอาคาร 2 ชั้น บริเวณหัวโค้งเชิงสะพานพุทธฯ (ถนนตรีเพชร เขตพระนคร) และก่อตั้งบริษัท ฮั่วเซ่งจั่น จำกัด ประกอบธุรกิจค้าขายทั่วไป นับเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจตระกูล "ซอโสตถิกุล" อย่างไรก็ตาม ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและภัยสงคราม
เมื่อสงครามสงบลง ธุรกิจของคุณวิชัย ซอโสตถิกุล เริ่มฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2491 โดยย้ายสำนักงานไปยังย่านตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ (ตรงข้ามซอยสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ในปัจจุบัน) ธุรกิจขยายไปสู่การค้าระหว่างประเทศ นำเข้าและส่งออกสินค้าหลากหลายประเภท รวมถึงการติดต่อกับคู่ค้าชาวสิงคโปร์เพื่อนำเข้ารองเท้าผ้าใบยี่ห้อหนำเอี๊ย รุ่น 500 ผ้าสีน้ำตาล พื้นยางสีน้ำตาล บรรจุในถุงกระดาษสีน้ำตาล เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ในราคาคู่ละ 12 บาท (หนำเอี๊ย แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
ในช่วง 2 ปีแรก ธุรกิจรองเท้าหนำเอี๊ยยังไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่เมื่อตลาดเริ่มตอบรับ ทั้งในตลาดสำเพ็งและตลาดต่างจังหวัด ผู้บริโภคต่างพึงพอใจในคุณภาพ จนมีคำกล่าวถึงความทนทานของรองเท้าว่า "ใส่เดินทำงานข้ามภูเขา ไป-กลับ ได้สบาย ส่วนรองเท้ายี่ห้ออื่น ขาไปใส่หนึ่งคู่ พังพอดี ต้องเตรียมไปอีกคู่เพื่อใส่กลับ" เมื่อ รองเท้าหนำเอี๊ย ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย บริษัทจึงมุ่งเน้นการขายรองเท้าเพียงอย่างเดียว และได้เปลี่ยนการออกเสียงยี่ห้อให้เป็นสากลมากขึ้น จาก หนำเอี๊ย ภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็น หนันหยาง (Nan-Yang) ภาษาจีนกลาง และเพื่อให้คนไทยจดจำได้ง่าย จึงเรียกว่า "นันยาง" ตั้งแต่นั้นมา โดยได้จดทะเบียนการค้า "นันยาง ตราช้างดาว" กับกระทรวงพาณิชย์ในปีพุทธศักราช 2492 ก่อนที่ คุณวิชัยและคุณบุญสม ซอโสตถิกุล จะร่วมสร้างตำนาน "นันยาง" ในประเทศไทย ในปีพุทธศักราช 2496
หลังจาก จดทะเบียนการค้าในชื่อ "นันยาง ตราช้างดาว" กับกระทรวงพาณิชย์ แล้ว คุณวิชัยได้เดินหน้าตั้งโรงงานบนพื้นที่กว่า 4 ไร่ บนถนนเพชรเกษม ย่านภาษีเจริญ นำเข้าบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจากสิงคโปร์มา และราว 6 ปีให้หลัง ก็เริ่มผลิตรองเท้าคู่แรก “นันยางตราช้างดาว” ในไทย ประทับตรา Made in Thailand จากนั้นในช่วง 4-5 ปีถัดมา คุณวิชัยและภรรยาได้พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่เป็น "รองเท้าแตะตราช้างดาว" รุ่น 200 ซึ่งมีให้เลือก 2 สี คือ สีน้ำตาลและสีน้ำเงิน จำหน่ายในราคาคู่ละ 15 บาท และแน่นอนว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริโภค
หลังจากเปิดตัวรองเท้าแตะได้เพียง 1 ปี "เพียรศักดิ์ ซอโสตถิกุล" ทายาทรุ่นที่ 2 ที่เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ ได้เข้ามาสานต่อกิจการ และริเริ่มพัฒนารองเท้าพื้นสีเขียวขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของนักกีฬาแบดมินตันโดยเฉพาะ รุ่นแรกของรองเท้าผ้าใบพื้นเขียวนี้คือ 205-S ซึ่งด้วยความเข้าใจในกีฬาแบดมินตันอย่างลึกซึ้งของคุณเพียรศักดิ์ ทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักกีฬาได้อย่างตรงจุด แม้จะมีสีสันที่แปลกใหม่ก็ตาม และในเวลาต่อมาก็ถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของรองเท้าผ้าใบพื้นยางสีเขียว ที่มีเอกลักษณ์เสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อสัมผัสกับพื้นผิวต่างๆ โดยหลังจากนั้น ความนิยมของรองเท้าผ้าใบพื้นเขียวก็ขยายวงกว้างออกไปสู่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ นักกีฬาประเภทอื่นๆ เกษตรกร พนักงานโรงงาน รวมถึงบุคลากรในภาคการขนส่ง เรียกได้ว่าแทบทุกสาขาอาชีพต่างเคยสัมผัสและคุ้นเคยกับรองเท้าคู่ใจนี้
ในปี พ.ศ. 2515 นันยางเล็งเห็นโอกาสทางการตลาดในกลุ่มใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรไทย และมีจำนวนคงที่ในทุกๆ ปี นั่นคือกลุ่มนักเรียน นันยางจึงขยายตลาดไปสู่กลุ่มนี้ และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รองเท้านันยางยังเป็นที่นิยมในหมู่นักกีฬาตะกร้อ ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อความต้องการเพิ่มสูงขึ้น บริษัทจึงขยายกำลังการผลิตด้วยการตั้งศูนย์การผลิตแห่งใหม่ย่านบางแค และก่อตั้งบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ตามลำดับ พร้อมย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังถนนสี่พระยา ย่านบางรัก แม้ธุรกิจจะดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่เมื่อเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยกระแสและเทรนด์ต่างๆ นันยางก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้เช่นกัน
นันยาง แบรนด์รองเท้าคู่ใจคนไทย ก้าวสู่ทศวรรษที่ 7 ภายใต้การบริหารของจักรพล จันทวิมล ทายาทรุ่นที่ 3 ผู้ไม่หยุดพัฒนาแบรนด์ให้ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยกลยุทธ์หลากหลาย ทั้งการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ศิลปิน และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง เพื่อสร้างสรรค์รองเท้ารุ่นใหม่ๆ ที่มีดีไซน์ทันสมัย เข้ากับไลฟ์สไตล์และแฟชั่นที่หลากหลายนอกจากนี้ นันยางยังนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับการขาย ด้วยเครื่องขายรองเท้าแตะช้างดาวอัตโนมัติ "Automatic Changdao Machine" ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ พร้อมทั้งสร้างสีสันบนโลกโซเชียลด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ที่ทันกระแส สร้างความฮือฮาและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นันยางรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรองเท้าด้วยการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตอกย้ำคุณภาพด้วยการใช้วัสดุยางพาราไทย 100%, ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มนักเรียนหญิงและพระสงฆ์ด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม, ตอบรับกระแสนิยมของแฟนฟุตบอลด้วยรุ่น Nanyan Red, แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยรองเท้ารักษ์โลก KHYA จากวัสดุรีไซเคิลและกระเป๋าจากป้ายไวนิล, ตอบสนองความต้องการของนักศึกษาด้วยรองเท้าแตะรุ่น COVID Edition, รองรับวิถีชีวิตใหม่ด้วยรองเท้าผ้าใบไม่ต้องผูกเชือก Nanyang Have Fun และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับแบรนด์ห่านคู่ในรุ่น Legendary Edition รวมไปถึงการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
จากจุดเริ่มต้นอันเรียบง่ายของเด็กชายชาวฮกเกี้ยน สู่การเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งด้วยพนักงานกว่าหมื่นชีวิต นันยางได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่นและคุณภาพตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี การเดินทางครั้งใหม่ของตำนานนี้คือการก้าวสู่ตลาดโลกด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อสร้าง "ศตวรรษนันยาง" ที่มั่นคงและเป็น "ตำนาน" ที่คงอยู่ตลอดไป ด้วยวิสัยทัศน์อันเฉียบแหลมและความมานะพยายามของนายห้างวิชัยและคุณนายบุญสม ซอโสตถิกุล ธุรกิจโรงงานรองเท้าเล็กๆ ได้เติบโตและแตกแขนงออกไปเป็น "กลุ่มซีคอน" (Seacon Group) ที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน ภายใต้การบริหารงานของทายาทรุ่นที่ 2 และรุ่นที่ 3 กลุ่มซีคอนได้ขยายกิจการอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย สร้างชื่อเสียงและความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
ผลประกอบการย้อนหลังบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด
"นันยาง" ไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์รองเท้าที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 7 ทศวรรษ แต่ยังเป็นตำนานที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น คุณภาพ และการปรับตัวที่ไม่หยุดนิ่ง จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่การเป็นแบรนด์รองเท้าชั้นนำของประเทศไทย นันยางได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า "ตำนาน" ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ ความเข้าใจผู้บริโภค และการไม่หยุดพัฒนา เรื่องราวของนันยางเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการและคนรุ่นใหม่ ที่แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนนั้นมาจากการไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จของนันยาง แบรนด์รองเท้าคู่ใจคนไทย ที่ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มาร่วมติดตามและเป็นกำลังใจให้กับแบรนด์ไทยที่น่าภาคภูมิใจนี้กันเถอะ!
ที่มา nanyang และ datawarehouse