ตลาดรถยนต์ในจีนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นยอดขายร่วงลงอย่างหนัก ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยต้องปรับตัวขนานใหญ่ โดยเฉพาะฮอนด้าที่ประกาศลดกำลังการผลิตในจีนถึง 1 ใน 3 นี่ไม่ใช่แค่สัญญาณเตือนสำหรับฮอนด้าเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังเผชิญในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้
ฮอนด้า มอเตอร์ เตรียมหั่นกำลังการผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันเบนซินในจีนลง 1 ใน 3 หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของกำลังการผลิตทั่วโลก หลังจากยอดขายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นในจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในจีนโดยรวม โดยบริษัทมีแผนที่จะปิดสายการผลิต 3 ใน 7 สายการผลิตในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะปรับลดกำลังการผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซินลงจาก 1.49 ล้านคันต่อปี เหลือ 1 ล้านคันต่อปี นับเป็นการลดกำลังการผลิตครั้งแรกของฮอนด้าในประเทศจีน และเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ที่สุดของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นในจีนท่ามกลางภาวะตลาดที่ซบเซา
โดยขณะนี้ ฮอนด้าอยู่ระหว่างการเจรจากับ GAC Group และ Dongfeng Motor Group ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมทุน คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะกำลังผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศจีน เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศได้ขยายกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วเกินกว่าความต้องการของตลาด ส่งผลให้รถยนต์ผลิตในจีนที่มีราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้การแข่งขันด้านราคามีความรุนแรงมากขึ้นในตลาดที่เคยเป็นฐานที่มั่นของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น
การปรับลดกำลังการผลิตในจีนครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ครั้งสำคัญของฮอนด้า หลังจากที่บริษัทได้เดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศจีนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 จนทำให้จีนกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของฮอนด้า แซงหน้าสหรัฐอเมริกา
ไม่เพียงฮอนด้า มอเตอร์ เท่านั้น ที่ประกาศปรับลดกำลังการผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซินในประเทศจีน แต่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายอื่นๆ ก็กำลังปรับโครงสร้างการดำเนินงานในจีนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดเช่นกัน ด้าน ฮีโน่ มอเตอร์ส เตรียมยุบ Shanghai Hino Engine บริษัทลูกที่ก่อตั้งในปี 2003 ในรูปแบบบริษัทร่วมทุน หลังยอดขายเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงของผู้ผลิตในประเทศ
นิสสัน มอเตอร์ ปิดโรงงานผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซินในมณฑลเจียงซูเมื่อเดือนที่แล้ว ลดกำลังการผลิตในจีนลงราว 10% และยังพิจารณาปิดโรงงานเพิ่มเติม เนื่องจากโรงงานในจีนยังมีกำลังการผลิตเหลือใช้อยู่ประมาณ 50% สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเคยขยายธุรกิจในจีนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงปี 2000 โดยร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นตามนโยบายรัฐบาลจีนที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ ในปี 2020 รถยนต์จากญี่ปุ่นเคยครองส่วนแบ่งตลาดรวมในจีนสูงถึง 20%
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของรถยนต์ญี่ปุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในกลับไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป เมื่อรัฐบาลจีนหันมาสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ รวมถึง การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากคู่แข่งในประเทศ ส่งผลให้ยอดขายของฮอนด้าในเดือนมิถุนายนลดลง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ถึงแม้จีนยังคงเป็นตลาดรถยนต์ที่สำคัญ แต่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นต้องปรับตัวเพื่อกลับมาทวงบัลลังก์ โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนและพัฒนาศักยภาพในการตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดให้ดียิ่งขึ้น
การปรับตัวครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อซัพพลายเออร์ เช่น Nippon Steel ที่เตรียมลดกำลังการผลิตเหล็กในจีนลงราว 70% และ Teijin ที่ยุติธุรกิจวัสดุสำหรับยานยนต์ในจีนสื่อท้องถิ่นคาดการณ์ว่า กำลังการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ในจีนอาจสูงถึง 36 ล้านคันในปีหน้า ซึ่งอาจนำไปสู่กำลังการผลิตส่วนเกินเกือบ 20 ล้านคัน ส่งผลให้รถยนต์ผลิตในจีนจำนวนมากถูกส่งออกไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกา ล่าสุด Subaru ได้ตัดสินใจยุติการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยไปแล้วเช่นกัน
การปรับตัวของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นในครั้งนี้ อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน คำถามคือ ผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยจะสามารถปรับตัวและรักษาความเป็นผู้นำในตลาดได้หรือไม่ หรือจะต้องยอมสละบัลลังก์ให้กับคู่แข่งจากแดนมังกร
ที่มา Nikkeiasia