อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่! เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่าปี 2567 นี้ ประเทศไทยอาจต้องเสียตำแหน่งแชมป์ส่งออกรถยนต์ในอาเซียนให้กับจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี การแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ BEV บวกกับสงครามราคาที่จีนได้เปรียบด้านต้นทุน กำลังบีบให้ไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน
บทความนี้จะพาคุณไปทราบถึงสถานการณ์ วิเคราะห์ปัจจัย และสำรวจโอกาสของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในยุคเปลี่ยนผ่านนี้ พร้อมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อรับมือกับความท้าทาย และขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวต่อไปในสนามแข่งขันระดับโลก
ไทยส่อแววเสียแชมป์ส่งออกรถยนต์ในอาเซียน ให้ประเทศจีน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยส่งสัญญาณเตือน! ประเทศไทยอาจสูญเสียตำแหน่งผู้นำการส่งออกรถยนต์ในตลาดอาเซียนปี 2567 นี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี โดยจีนกำลังก้าวขึ้นมาทวงบัลลังก์ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ของไทยในอาเซียนลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 31% ในปี 2564 เหลือเพียง 23% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ขณะที่จีนซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 27% ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น และการรุกคืบอย่างหนักของจีนในตลาดอาเซียน
ตารางการส่งออกรถยนต์ไปตลาดอาเชียน
ประเทศ |
ปี 2021 |
1H2024 |
ไทย |
31.00% |
23.00% |
จีน |
18.00% |
27.00% |
อื่นๆ |
51.00% |
50.00% |
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
- รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) คือกุญแจสำคัญ: การเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ BEV จากจีน เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอาเซียนเปลี่ยนแปลงไป รถยนต์ BEV จากจีน เช่น BYD และ SAIC ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการสนับสนุนจากภาครัฐของจีน
- สงครามราคา: จีนมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ทำให้สามารถเสนอขายรถยนต์ในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์จากไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่ง ซึ่งมูลค่าการส่งออกลดลงจาก 1,862 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เหลือ 1,447 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 สวนทางกับจีนที่มูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นจาก 891 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 1,763 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
สถานการณ์การส่งออกรถยนต์ประเภทอื่นๆ
- ปิกอัพ รถยนต์เชิงพาณิชย์ ยังคงเป็นความหวัง: แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากจีน แต่ประเทศไทยยังคงครองความเป็นผู้นำในการส่งออกรถปิกอัพและรถยนต์เชิงพาณิชย์ในตลาดอาเซียน โดยมีมูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 สูงถึง 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมรถปิกอัพไทย
- รถบรรทุก เสียแชมป์ให้จีน: ในทางกลับกัน ประเทศไทยต้องเสียตำแหน่งผู้นำการส่งออกรถบรรทุกในอาเซียนให้กับจีน โดยจีนมีมูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ 865 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่จีนมีเทคโนโลยี และนวัตกรรมในกลุ่มรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าที่ก้าวหน้ากว่า
วิเคราะห์สถานการณ์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
จากข้อมูลของทาง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นได้ชัดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากจีนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นเทรนด์การเติบโตของโลก
วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญ
- จีนรุกหนักตลาด EV: จีนมีความได้เปรียบทั้งด้านต้นทุนการผลิต เทคโนโลยี และการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้รถยนต์ EV จากจีนมีราคาที่แข่งขันได้ และมีคุณภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ
- ไทยยังตามหลังด้าน EV: ประเทศไทยยังขาดการลงทุน การวิจัยและพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานด้าน EV อย่างจริงจัง ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน
- สงครามราคา: จีนใช้กลยุทธ์ราคา บีบให้ผู้ผลิตรายอื่น รวมถึงไทย ต้องปรับตัว ซึ่งอาจกระทบต่อกำไร และความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
- การพึ่งพาตลาดเดียว: การพึ่งพาตลาดอาเซียนเป็นหลัก ทำให้ไทยมีความเสี่ยง เมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง เช่น จีน เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ภาครัฐไทยควรดำเนินมาตรการเชิงรุก โดยมุ่งเน้น 4 ด้านหลัก ดังนี้
1. เร่งพัฒนาอุตสาหกรรม EV
- ส่งเสริมการลงทุน: ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สนับสนุนเงินทุน และอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งโรงงานผลิต ประกอบ และชิ้นส่วนรถยนต์ EV
- สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา: ลงทุนในศูนย์วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และระบบขับเคลื่อน เพื่อสร้างนวัตกรรม และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
- สร้างบุคลากร: พัฒนาหลักสูตร ฝึกอบรม และยกระดับทักษะแรงงาน ให้มีความเชี่ยวชาญด้าน EV
- สร้างโครงสร้างพื้นฐาน: เร่งขยายสถานีชาร์จ ส่งเสริมการใช้ EV ในหน่วยงานภาครัฐ และออกนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึง EV ได้ง่ายขึ้น
2. ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
- เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: นำเทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล มาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
- พัฒนา Supply Chain: ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตชิ้นส่วน และผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้าง Supply Chain ที่แข็งแกร่ง และลดการพึ่งพาการนำเข้า
- สร้างแบรนด์: สนับสนุนการสร้างแบรนด์รถยนต์ไทย ให้เป็นที่รู้จัก และได้รับความเชื่อมั่นในตลาดโลก
3. เจรจาการค้าระหว่างประเทศ
- ขยายตลาดส่งออก: เจรจาความตกลงทางการค้า (FTA) กับประเทศต่างๆ เพื่อขยายโอกาสทางการตลาด และลดอุปสรรคทางการค้า
- ดึงดูดการลงทุน: ส่งเสริมให้บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ EV ชั้นนำ เข้ามาลงทุนในไทย เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างงาน
4. ส่งเสริมการใช้รถยนต์ EV ในประเทศ
- ให้สิทธิประโยชน์: ลดภาษี ให้เงินอุดหนุน หรือมีมาตรการจูงใจอื่นๆ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนซื้อรถยนต์ EV
- สร้างความตระหนัก: ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ EV เพื่อส่งเสริมการใช้ และสร้างตลาดในประเทศ
มุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง
อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยกำลังเผชิญกับกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน ประกอบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องเร่งปรับตัว พัฒนา และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายนานัปการ ประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญ เช่น ความเชี่ยวชาญในการผลิตรถยนต์ประเภทปิกอัพและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ฐานการผลิตที่มั่นคง และแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอด และพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของภาคเอกชนเพียงฝ่ายเดียวย่อมไม่เพียงพอ ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย และมาตรการสนับสนุนที่ครอบคลุม เพื่อเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม EV ส่งเสริมการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การสร้างบุคลากร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตลาด และการส่งเสริมการใช้ EV ภายในประเทศ
การลงทุนในเทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร ถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ ที่จะนำพาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้สามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทาย และคว้าโอกาสในยุคแห่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
อนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ขึ้นอยู่กับความร่วมมืออย่างบูรณาการ และการปรับตัวของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน และขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ
อ้างอิง KResearch