ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ต่อชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ก้าวต่อไปได้
สถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อหลายภูมิภาคของประเทศไทย ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ข้อมูลล่าสุดจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 87.1 จาก 87.7 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของภาคธุรกิจต่อสถานการณ์ดังกล่าว
นายนาวา จันทนสุรคน และ ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธาน ส.อ.ท. ได้ร่วมกันแถลงผลการสำรวจดัชนีฯ โดยระบุว่า อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ได้สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัย ภาคการเกษตร สถานประกอบการอุตสาหกรรม ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ามหาศาล เบื้องต้นประเมินว่าสูงถึง 30,000 - 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายประการ เช่น กำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากภาระหนี้สินของครัวเรือน ยอดจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-สิงหาคม) หดตัวลง 24% และ 11% ตามลำดับ ปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ การแข่งขันที่รุนแรงจากการทุ่มตลาดของจีน อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน และต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม
ส.อ.ท. เห็นควรให้รัฐบาลเร่งดำเนินการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน 2567 จะได้รับผลกระทบจากอุทกภัย แต่ยังคงมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการจำนวน 14.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุปโภคบริโภค
นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี (1 มกราคม - 29 กันยายน 2567) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้วกว่า 26 ล้านคน เพิ่มขึ้น 30% สร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่ภาคการส่งออกก็มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน อาเซียน ยุโรป อินเดีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ประกอบกับอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลง ส่งผลดีต่อต้นทุนการขนส่ง
จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ 1,353 ราย ใน 46 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ (67.3%) และอัตราแลกเปลี่ยน (48.1%) ขณะที่ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจโลก (58.6%) ราคาน้ำมัน (49.8%) สถานการณ์ทางการเมือง (36.3%) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (36.0%)
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 96.7 จาก 95.2 ในเดือนสิงหาคม โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เช่น โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มาตรการ 10,000 บาท ระยะที่ 2 การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และแนวโน้มการส่งออกที่ขยายตัว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่
แม้จะมีปัจจัยบวกหลายประการ แต่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ได้แก่
ภัยธรรมชาติ: สภาพอากาศที่แปรปรวนจากปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรง กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของภาคอุตสาหกรรม
ความขัดแย้งระหว่างประเทศ: สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ สร้างความเสี่ยงต่อการส่งออกสินค้าไทย
การเมืองระหว่างประเทศ: การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อนโยบายการค้าและเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงต่ำกว่าระดับ 100 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวม
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
เพื่อรับมือกับความท้าทายและเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ ส.อ.ท. มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ขอแจ้งให้ทราบว่า ทางสภาฯ ได้ดำเนินการพัฒนาฐานข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม โดยรวบรวมข้อมูลดัชนีฯ ประกอบกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปี เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของ ส.อ.ท. (https://fti.or.th/ids) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและสาธารณชน ในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ วิเคราะห์ และวางแผนกลยุทธ์ อันจะนำไปสู่การยกระดับประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน
การพัฒนาฐานข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับพันธกิจของ ส.อ.ท. ในการ "เสริมสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม (Strengthen Thai Industries for Stronger Thailand)" โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเครื่องมือและบริการที่ทันสมัย ตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของประเทศไทย นับเป็นภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของภาคธุรกิจต่อสถานการณ์ดังกล่าว สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประเมินความเสียหายเบื้องต้นว่าอาจสูงถึง 30,000 - 50,000 ล้านบาท
แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่ ส.อ.ท. ยังคงแสดงความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อาทิ ภัยธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ
ส.อ.ท. ได้เสนอแนะแนวทางในการรับมือต่อภาครัฐ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์ การดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบและเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังได้เปิดตัว Dashboard ดัชนีความเชื่อมั่นฯ เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการและสาธารณชน อันสอดคล้องกับพันธกิจในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมไทย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สรุปประเด็นสำคัญ
การรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการพัฒนาระบบเตือนภัย การบริหารจัดการน้ำ และการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม และสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว