อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาแห่งความผันผวน ปัจจัยลบรุมเร้า ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ในประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดจำหน่ายตกต่ำที่สุดในรอบ 53 เดือน
ท่ามกลางความท้าทาย ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นยังคงครองอำนาจ แต่ก็ไม่อาจประมาท การมาของแบรนด์รถยนต์จากจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า กำลังเขย่าบัลลังก์ และสร้างแรงกดดันอย่างหนัก บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกภาพรวมตลาดยานยนต์ไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบ พร้อมสำรวจโอกาสและความท้าทาย เพื่อหาคำตอบว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะสามารถฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างไร
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม - กันยายน) กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์รวมมียอดจำหน่ายเพียง 39,048 คัน ซึ่งลดลง 37.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งอยู่ที่ 15,668 คัน ลดลง 38.4% ขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มียอดจำหน่าย 23,380 คัน ลดลง 36.2% ส่วนรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดจำหน่าย 13,972 คัน ลดลงถึง 40.1%
ถึงแม้ตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) จะเป็นที่จับตามองในฐานะอนาคตของอุตสาหกรรม แต่ในเดือนกันยายน 2567 ยอดจำหน่าย xEV กลับลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมียอดจำหน่ายรวม 13,102 คัน คิดเป็น 34% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด รถยนต์ HEV ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด แม้ยอดจำหน่ายจะลดลง 11% แต่ก็ยังมียอดจำหน่ายถึง 7,355 คัน คิดเป็น 56% ของตลาด xEV ทั้งหมด ในทางกลับกัน ยอดจำหน่าย BEV กลับลดลงอย่างมากถึง 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมียอดจำหน่าย 4,982 คัน
เมื่อพิจารณายอดจำหน่ายรถยนต์สะสมตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2567 พบว่าตลาดรถยนต์รวมมียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 438,659 คัน ลดลง 25.3% โดยรถยนต์นั่งมียอดจำหน่าย 169,862 คัน ลดลง 22.7% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มียอดจำหน่าย 268,797 คัน ลดลง 26.8% และรถกระบะขนาด 1 ตันมียอดจำหน่าย 153,504 คัน ลดลงถึง 40% และคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์รวมทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 547,885 คัน (กรณีที่ช่วง 3 เดือนสุดท้าย ใช้อัตราการลดลง 25.3% ในอัตราเดียวกัน)
อันดับ | ยี่ห้อ | จำนวนคัน |
ส่วนแบ่งตลาด (%)
|
1 | โตโยต้า (Toyota) | 167,218 | 38.1 |
2 | อีซูซุ (Isuzu) | 65,269 | 14.9 |
3 | ฮอนด้า (Honda) | 58,311 | 13.3 |
4 | บีวายดี (BYD) | 22,237 | 5.1 |
5 | มิตซูบิชิ (Mitsubishi) | 20,356 | 4.6 |
6 | ฟอร์ด (Ford) | 16,131 | 3.7 |
7 | เอ็มจี (MG) | 12,975 | 3 |
8 | นิสสัน (Nissan) | 7,368 | 1.7 |
9 | มาสด้า (Mazda) | 7,160 | 1.6 |
10 | ฉางอาน (Changan) | 6,203 | 1.4 |
จากข้อมูลยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) พบว่า โตโยต้ายังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยยอดจำหน่ายสะสมสูงถึง 167,218 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 38.1% ตามมาด้วยอีซูซุ ซึ่งมียอดขาย 65,269 คัน (14.9%) และฮอนด้า 58,311 คัน (13.3%) ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือการขยายตัวของแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บีวายดี ซึ่งมียอดขายรวม 22,237 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 5.1% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย พร้อมกันนี้ แบรนด์ฉางอานยังสามารถบรรลุเป้าหมายในการเข้าสู่ 10 อันดับแรกของยอดขายรถยนต์ได้เป็นครั้งแรก ด้วยยอดขาย 6,203 คัน (1.4%) แซงหน้า เกรท วอลล์ มอเตอร์ ซึ่งหลุดจากอันดับดังกล่าว
ยอดจำหน่ายในเดือนกันยายนตกต่ำที่สุดในรอบ 53 เดือน ทางด้าน คุณสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวลว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในประเทศประจำเดือนกันยายน 2567 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 53 เดือน หรือ 4 ปี 5 เดือน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาวะวิกฤตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบัน
ปัจจัยลบที่ฉุดรั้งการเติบโตของตลาดยานยนต์
ผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง นอกเหนือจากปัจจัยภายในประเทศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกยานยนต์ของไทย เนื่องจากประเทศคู่ค้าสำคัญมีแนวโน้มที่จะชะลอการนำเข้า แม้จะมีความท้าทายดังกล่าว แต่ตลาดยานยนต์ยังคงได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวก อาทิ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการขายจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ดังนั้นการปรับประมาณการผลผลิตยานยนต์ คุณสุรพงษ์ ได้กล่าวถึงแผนการปรับลดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ของปี 2567 ทั้งในส่วนของการจำหน่ายภายในประเทศและการส่งออก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ของตลาดในปัจจุบัน
จากข้อมูลทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าตลาดยานยนต์ไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ต้องเผชิญกับความท้าทายและความผันผวนมากมาย ทั้งปัจจัยภายในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน และปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ แม้ว่าจะมีสัญญาณเชิงบวกจากนโยบายของภาครัฐ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และกลยุทธ์ทางการตลาด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยอดขายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตกต่ำที่สุดในรอบ 53 เดือน
สิ่งสำคัญที่ต้องจับตามองคือสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อ นอกจากนี้ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น การพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า รถยนต์ไร้คนขับ เป็นต้น กำลัง Disrupt อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัว และพัฒนานวัตกรรม เพื่อแข่งขันในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสและความหวังสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เช่น การเติบโตของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต นโยบายส่งเสริมของภาครัฐ เช่น การลดภาษี เงินอุดหนุน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะช่วยกระตุ้นตลาด และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึง ความต้องการรถยนต์ในกลุ่มประเทศ CLMV ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด
สุดท้ายนี้ อนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว รับมือกับความท้าทาย และคว้าโอกาส ผู้ประกอบการ ภาครัฐ และผู้บริโภค ต้องร่วมมือกัน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
อ้างอิง taia