วันนี้เป็นวันแรกที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเองคาดการณ์ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยแตะ 5 ล้านคน ไม่นับนักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ ทั่วโลก จะส่งผลดีให้กับธุรกิจค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า โรงแรมในไทย
เซ็นทรัล รีเทล บริษัทค้าปลีกรายใหญ่หนึ่งของไทย เป็นบริษัทหนึ่งที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทย ถือว่าเป็นปีแรกที่จะเห็นการเติบโตในธุรกิจนี้
วันนี้เอง! เซ็นทรัล รีเทล ได้ออกมาประกาศจุดยืน และแผนธุรกิจ เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพ และความพร้อม รวมถึงทิศทางธุรกิจในปีนี้ และแผน 5 ปีข้างหน้าจะมุ่งไปอย่างไร โฟกัสอะไรบ้าง ด้วยอาณาจักรของเซ็นทรัล รีเทล ค่อนข้างใหญ่ มีทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ
“เศรษฐกิจโลกดีกว่าที่คาดไว้ หรือแย่น้อยกว่าที่คิด และอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คาดปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3% และประเทศไทยมีความพร้อมทุกอย่างในการเปิดประเทศ เมื่อนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทย ในแง่ธุรกิจค้าปลีกก็จะดีขึ้น เชื่อว่าภาพรวมของเซ็นทรัล รีเทลดีเหมือนก่อนโควิดแล้ว” นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าว
ตั้งเป้าเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ในเอเซีย
โดยมุ่งเน้นที่จะสร้างเซ็นทรัล รีเทล ให้เป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย พร้อมสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า GO! ที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 ตามเจตนารมณ์การเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย
เบอร์ 1 International retailer ในเวียดนาม
ประเทศเวียดนามถือว่าเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ ถึงแม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถปรับตัวดีขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งตอนนี้ในเวียดนาม เซ็นทรัล รีเทล ถือว่าเป็นเบอร์ 1 ในเรื่องของ International retailer ในเวียดนาม และเซ็นทรัล รีเทล จะเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุด และพร้อมที่จะก้าวเป็นเบอร์ 1 ของแพลตฟอร์มออมนิแชแนลในกลุ่มฟู้ด และพร็อพเพอร์ตี้
ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 2.7 แสนล้านบาท
เซ็นทรัล รีเทล คาดว่าปี 2566 จะสร้างรายได้รวม 270,000 ล้านบาท เติบโต 12%-15% จากปี 2565 โดยเซ็นทรัล รีเทล ทุ่มงบลงทุน 28,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มกำลัง ตามแผนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ที่เพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นเป็นการลงทุนในประเทศ ประมาณ 70%-75% และในต่างประเทศ 20%-25% และถ้าแบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจ จะเป็นการลงทุนในกลุ่มแฟชั่น ประมาณ 45% กลุ่มฟู้ด 35% และกลุ่มฮาร์ดไลน์ 25% เนื่องจากเห็นสัญญาณบวกของภาคค้าปลีกและบริการในทั้ง 3 ประเทศ จากสภาพเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การเปิดประเทศของจีน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว
ผ่า 4 กลยุทธ์หลัก เซ็นทรัล รีเทล
โดยกลยุทธ์หลัก 4 ข้อ เพื่อนำไปสู่ ปรากฏการณ์ The Next Sustainable Growth ดังนี้
ประเทศ คือ ไทย อิตาลี และเวียดนาม
กลุ่มแฟชั่น : ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มแฟชั่น ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชูรี่ในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อแพลตฟอร์มของห้างลักชูรี่ทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งจากทุกห้างของกลุ่มได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย และรีโนเวทสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อีก 2 สาขา ในปีนี้
กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เสริมแกร่งความเป็นผู้นำในกลุ่มฮาร์ดไลน์ของประเทศไทย ด้วยการเร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวมอีก 10 สาขาในปีนี้
กลุ่มฟู้ด : สร้างการเติบโตในเวียดนามอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลักดันแบรนด์ Tops ขึ้นเป็น Food Discovery & Destination และ เบอร์ 1 Food Omni Retailer ด้วยการขยายสาขา Tops รวมอีก 15 สาขาในปีนี้
กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ขึ้นแท่นผู้นำศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community Platform ของประเทศไทย ด้วยการขยายและรีโนเวทศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปีนี้
นอกจากนี้ ในเวียดนามก็มีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ๆ เพื่อเตรียมเปิดอีก 6-8 สาขา ในปี 2567
อย่างไรก็ตาม เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจด้วย 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และเร่งขยาย Proven Format และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความรวดเร็ว คล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น สำหรับสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไป เพื่อสร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง
ทั้ง 4 กลยุทธ์จะทำให้เซ็นทรัล รีเทล เติบโตสู่ The Next Sustainable Growth และคาดว่าจะสร้างรายได้รวมในปี 2566 ราว 270,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ตอกย้ำการเป็น Green & Sustainable Retail ผ่าน 4 กลยุทธ์ ‘ReNEW’
“ ตั้งเป้าระยะสั้นปี 2566 ที่จะนำพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ให้ได้ 30%, ลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ 10% และลดการใช้น้ำ 10%, เพิ่มการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสัดส่วน 20% ของสินค้าทั้งหมด และเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากการปลูกป่าอีก 5,000 ไร่ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก” นายญนน์ กล่าว
ประกาศโมเดลธุรกิจใหม่ในไทย-เวียดนามครึ่งปีหลัง
ช่วงครึ่งหลังของปีบริษัทจะมีโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ที่จะเปิดตัวทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม สถานการณ์โควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ซึ่งตอนนี้ต้องทำในรูปแบบ Omni มากขึ้น รวมถึงการให้บริการในช่องทาง Online ด้วย
ทุ่มงบลงทุน 1.5 แสนล้านบาท ในปี 2570
สำหรับเป้าหมาย 5 ปี ของเซ็นทรัล รีเทล ตั้งงบลงทุน 150,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้เพิ่ม 2.5 เท่า ตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่ม 3.5 เท่า และมีมูลค่าตามราคาตลาดเพิ่ม 2.5 เท่า เพื่อนำไปสู่เบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย
ปี 2565 รายได้โตกว่า 20% สูงกว่าเป้าหมาย
ปี 2565 ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ได้ดำเนินแผนธุรกิจตามยุทธศาสตร์ 5 ปี CRC Retailligence และสร้างความสำเร็จในการขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ และเฮลธ์แอนด์เวลเนส โดยสร้างรายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% ถือเป็นผลประกอบการที่เกินเป้าที่ตั้งไว้ในปี 2565
ปีนี้นับเป็นปีแห่งการเริ่มต้นเติบโตอีกครั้งของธุรกิจค้าปลีกไทย ภายหลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ประเทศไทย และต่างประเทศต่างก็ต้องมีการปิดเมือง เพื่อระงับการแพร่ระบาด
จากนี้ไป…เราคงต้องมาตามดูกันต่อว่า หน้าตา ทิศทาง หรือกิจกรรมของภาคธุรกิจค้าปลีกนี้จะมีรูปแบบอะไรใหม่ๆ ออกมา ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในโลกที่ยุค AI และยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และตลอดเวลา