UBS เตรียมโละพนักงานถึง 20-30% ของเครดิตสวิสหลังเข้าซื้อกิจการ เพื่อปรับโครงสร้าง ลดขนาดธุรกิจ และลดต้นทุนในการดำเนินงาน คาดเป็นพนักงานในสวิตเซอร์แลนด์ 11,000 คน และพนักงานในสาขาต่างประเทศรวมอีก 25,000 คน
ถึงแม้ภาคการธนาคารในยุโรปจะรอดพ้นวิกฤตแบงก์เครดิตสวิสล้มละลายมาได้แล้วด้วยความช่วยเหลือของทั้งธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และการตัดสินใจเข้าไปอุ้มคู่แข่งของ UBS ภาคการเงินของยุโรปยังคงเดือดร้อนไม่หยุดหลัง UBS ออกมาประกาศว่าจะเลย์ออฟพนักงานของเครดิตสวิสถึง 20-30% เพื่อลดต้นทุน หลังการควบรวม UBS จะมีพนักงานในความดูแลรวมถึง 125,000 คน ซึ่งมากเกินไปสำหรับโครงสร้างบริษัทแบบใหม่ และจะทำให้ UBS ต้องแบกรับภาระหนี้ของเครดิตสวิสถึง 5,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยก่อนหน้านี้ UBS ได้ประกาศว่าจะพยายามลดต้นทุนให้ถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2027 แบ่งเป็น 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการเลย์ออฟพนักงาน และอีก 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการลดค่าใช้จ่ายด้านไอที
ประกาศนี้ทำให้สื่อและทุกฝ่ายรู้ว่าจะเกิดการเลย์ออฟหลังจากการควบรวมแน่นอน เพราะ UBS ต้องการที่จะลดขนาดธุรกิจของเครดิตสวิสลง โดยเฉพาะธุรกิจในด้านวาณิชธนกิจ หรือ investment bank ที่เป็นธุรกิจใหญ่ของเครดิตสวิส และมีพนักงานถึง 17,000 คนทำงานในส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพนักงานของเครดิตสวิสจะไม่มีทางไป เพราะจากการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg ธนาคารใหญ่ต่างๆ ในสวิสและยุโรปไม่ว่าจะเป็น Deutsche Bank AG, Citigroup Inc. หรือ JPMorgan Chase & Co ก็เตรียมดึงตัววาณิชธนากร หรือ investment banker ที่กำลังจะตกงานจากเครดิตสวิสไปร่วมงานเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ พนักงานที่ UBS วางแผนจะเลย์ออฟก็ไม่ใช่พนักงานจากทางฝั่งของเครดิตสวิสอย่างเดียว เพราะพนักงานในตำแหน่งงานซ้ำซ้อนของ UBS ก็อาจจะถูกเด้งเช่นกันหาก UBS มองว่าอยากเก็บพนักงานจากฝั่งเครดิตสวิสไว้มากกว่า
ในขณะเดียวกัน UBS ยังได้ตั้งคณะสืบสวนสอบสวนการกระทำผิดในธนาคารเครดิตสวิสซึ่งมีปัญหาในด้านการบริหารจัดการมานานหลายปีจนนำมาสู่ปัญหาสภาพคล่องที่ทำให้ UBS ต้องเข้าไปซื้อกิจการอย่างเร่งด่วนในวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา
โดยจากการรายงาน Bloomberg UBS กำลังเร่งดำเนินการควบรวมธุรกิจของเครดิตสวิสเข้ากับธุรกิจของตัวเอง พร้อมมีแผนจะจ้างบริษัทที่ปรึกษาเช่น Bain & Company, Boston Consulting Group Inc., McKinsey & Co และ Oliver Wyman เพื่อมาช่วยทำให้การควบรวมระหว่างสองธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ในครั้งนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่น และเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2022 และต้นปี 2023 อย่างที่คาดการณ์ไว้
ที่มา: Bloomberg, Financial Times