ธุรกิจการตลาด

‘บูลลี่ในโรงเรียน’ ไทยติดอันดับ 2 ของโลก ‘นันยาง’ เป็นแนวร่วมเด็กไทย

28 เม.ย. 66
 ‘บูลลี่ในโรงเรียน’ ไทยติดอันดับ 2 ของโลก ‘นันยาง’ เป็นแนวร่วมเด็กไทย

ปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนเกิดขึ้นทุกประเทศทั่วโลก แต่รู้มั้ย! ไทยติดอันดับ 2 ของโลก ซึ่งจากข้อมูลอินไซต์ที่นันยางได้ไปเสาะหามาพบว่า

ความฝันอันสูงสุดของเด็กนักเรียนไทย คือ ต้องการหยุดปัญหาและพฤติกรรม “การบูลลี่ในโรงเรียน” ให้หมดไป 

‘นันยาง’ ได้ออกมาประกาศจุดยืนเป็นแนวร่วมเด็กไทย เพื่อยุติปัญหา ด้วยแคมเปญ “BULLY NO MORE” 

“ ปีนี้ นันยางได้จัดทำสื่อที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘คำขอโทษจากนันยาง’  ที่ไม่เพียงแต่ต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นันยางได้เคยสื่อสารไปในอดีต และบางครั้งอาจมีเนื้อหาบางส่วนเข้าข่ายการบูลลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ และการออกมาขอโทษในครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่นักเรียนที่เคยมีพฤติกรรมการบูลลี่คนอื่น ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามให้ได้ฉุกคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องนี้” ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าว

พร้อมประกาศจุดยืน ด้วยข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE บนรองเท้าผ้าใบนักเรียน ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition” 

โดยนันยางเปิดโอกาสให้นักเรียนนำรองเท้าคู่เก่ามาแลกรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ ซึ่งรองเท้าคู่เก่าของพวกเขา จะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน Art Installation ที่ประกอบขึ้นเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE  

ที่สำคัญที่สุด คือ ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ จะได้ทำการประทับรอยเท้าแสดงจุดยืนร่วมกันเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE ที่จะทำให้จุดยืนการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนนี้ค่อยๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไปผ่านด้วยแนวคิด ‘ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร’

สำหรับภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนในไทยปี 2566 คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มกลับมาหลังจากการประกาศให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้ผู้คนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ 

โดยคาดว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ระบบทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเกิดความคล่องตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมามาก  ถือเป็นสัญญาณบวกเหล่านี้จะหนุนให้ตลาดรองเท้านักเรียนของไทยในปีนี้ กลับมาคึกคักรับช่วงเปิดเทอมใหม่ในเดือนพฤษภาคมนี้ได้อย่างแน่นอน 

ขณะที่นันยางคาดว่าในปีนี้ รองเท้าผ้าใบนักเรียนของนันยางจะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 8-10% สูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3-5%

ทั้งนี้ ในปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนทุกประเภทในไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยนันยางครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 43-44% ในปีนี้

รวมถึง แผนกลยุทธ์ทางการตลาดของรองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่น นันยาง Have Fun ที่มีคุณสมบัติ เบา นุ่ม สบาย ไม่ต้องผูกเชือก ลดการสัมผัสเชื้อโรค เป็นกระแสนิยมอย่างมากของกลุ่มเด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษาทั่วประเทศ 

โดยจะทำให้มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี 

สำหรับช่องทางการขายต่างประเทศนั้น นันยางยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้น จากกลยุทธ์การร่วมมือกับภาครัฐนำสินค้าไทยไปขยายตลาดในต่างประเทศ มีการออกบูธแสดงสินค้าในต่างประเทศ ส่งผลให้รองเท้าผ้าใบนันยางเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสำคัญอย่างในวงการกีฬาตะกร้อ และเทคบอลที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบันด้วย จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทยในปัจจุบัน

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT