ร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลี 2 สัญชาติอาหารที่ได้รับความนิยมมาเนินนานสำหรับผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากรสชาติที่อร่อย ถูกปาก อีกทั้ง ยังมีวัฒนธรรม K-POP และ J-POP ที่กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญจนทำให้ครองใจใครหลายๆคน
ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศ ที่มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลีท่วมเมือง โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีจำนวนร้านมากกว่า 5,751 ร้าน และพุ่งทะยานสู่อันดับ 6 ของโลกเลยทีเดียว
แต่ไม่ใช่ว่า ทุกร้านจะประสบความสำเร็จ ทั้งการสร้างความนิยม สร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถเข้าตลาดหุ้นไทย (IPO) ได้ทุกเจ้า
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมารู้จักกับ MAGURO Group ผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ที่เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงไตรมาส 2 นี้
คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ได้เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่ระดมทุน โดยการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด และคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ ภายในไตรมาส 2 นี้
โดยบริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาเพิ่ม 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล, ปรับปรุงสาขาเดิมและปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ปัจจุบันบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “MAGURO” มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น
MAGURO (มากุโระ) ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อน 4 คน เมื่อปี 2558 หรือเมื่อ 9 ปีที่แล้วเพื่อประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิภายใต้ปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” และได้ขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน MAGURO มีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ รวม 26 สาขา คือ
: ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิที่มุ่งเน้นการใช้คุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น 14 สาขา
กลุ่มลูกค้า : กลุ่มครอบครัว คู่รัก และคนทำงาน ที่มีรายได้ปานกลาง-สูง ในช่วงอายุ 36-45 ปี และให้ความสำคัญกับสุขภาพ และคุณภาพของร้านนอาหาร
ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย/ครั้ง/คน : 450-850 บาท
ร้านปิ้งย่างเกาหลีระดับพรีเมียม 6 สาขา
กลุ่มลูกค้า : กลุ่มคนทำงาน นักศึกษาและคู่รัก ที่มีรายได้ปานกลาง ในช่วงอายุ 26-35ปี และให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของราคา และไลฟ์สไตล์ตามกระแสวัฒนธรรมเกาหลี
ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย/ครั้ง/คน : 450-500 บาท
ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซต้นตำหรับ 6 สาขา
กลุ่มลูกค้า : กลุ่มคนทำงาน นักศึกษา ครอบครัว และคู่รัก ที่มีรายได้ปานกลาง-สูง ในช่วงอายุ 36-45 ปี และให้ความสำคัญกับความพรีเมี่ยมของวัตถุดิบ และความเป็นชาบูต้นตำรับ
ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย/ครั้ง/คน : 850 – 950 บาท
ในปี 65 ช่วงวิกฤติโควิด-19 ถึงแม้ภาครัฐมีมาตรการการห้ามเปิดร้านอาหารซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารทั่วประเทศ แต่ MAGURO สามารถแก้ปัญหาและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรได้ในตลอดช่วงวิกฤติดังกล่าว และเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจเชิงรุกและต่อเนื่อง โดยในปี 66 เปิดสาขาใหม่จำนวนกว่า 9 สาขา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค
ส่งผลให้ ผลประกอบการปี 66 ทางบริษัทมีรายได้กว่า 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% จากรายได้รวม 665.85 ล้านบาท ในปี 65 และมีกำไรสุทธิ 72.48 ล้านบาทในปี 66 เติบโตสูงถึง 131.12% จากกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท
โดยสัดส่วนรายได้จาก 3 แบรนด์ ในปี 66 แบ่งเป็น
นอกจากนี้ในปี 67 บริษัทฯ ยังวางแผนเปิดเพิ่มอีก 11 สาขา เพื่อที่จะสร้างการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
-วิเคราะห์แต่ละโลเคชั่น ก่อนที่จะเปิดสาขาใหม่ เพื่อมุ่งสู่ผลตอบแทนและความคุ้มค่าในการลงทุน
-ขยายสาขาไปที่หัวเมืองใหญ่ๆในก.ท.ม.
-เพิ่มสาขา Stand Alone และดึงดูดลูกค้าด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ เพื่อลดการพึงพาจำนวนลูกค้าจากห้างสรรพสินค้าใหญ่
-พัฒนาเมนู สินค้าใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง
-มุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมการนำเสนออาหารที่ความคิดสร้างสรรค์ ทันสมัย
-ลงทุนในเครื่องมือและอุปกรณ์ใหม่ๆอยู่เสมอ
-หากลยุทธฺเพื่อควบคุมดูแลบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย
-ควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ ความสด ความสะอาด และรสชาติของอาหาร
-สร้างบรรยากาศร้านให้เป็นเอกลักษณ์ และ เน้นการบริการที่รู้ใจ ใส่ใจผู้บริโภค
-ใช้ระบบ CRM ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เพื่อจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมอื่นๆให้ตรงจุด
-สร้างประสบการณ์ให้ดีแก่ลูกค้า จนทำให้เกิด Talk of the town และกระแส Viral ใน Social Media
-สร้าง Brand Portfolio ให้แข็งแกร่งจนได้รับความนิยม
-มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพึงการสร้างรายได้ภายใต้แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง
-มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 100,000 ราย