บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด(มหาชน) หรือ CPAXT เจ้าของโลตัส และแม็คโคร
คาดยอดขายไตรมาส 4 เติบโตอย่างต่อเนื่องรับปัจจัยบวกช่วงไฮซีซั่น เดินหน้าขยายสาขาอีก 9 แห่ง และการปรับโฉมสาขาเดิม อีกทั้ง
โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ทำรายได้รวม 119,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,841 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 ของปีนี้ คาดว่ารายได้จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไฮซีซั่น จากความเชื่อมั่นในการบริโภคที่จะปรับตัวดีขึ้น
โดยคาดการณ์ยอดขายของสาขาเดิม (SSSG) ขยายตัวต่อเนื่อง จากการปรับโฉมใหม่ของสาขา ที่สามารถเพิ่มอัตราการเข้าใช้บริการอย่างมีนัยยะสำคัญ (Traffic)
บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาในหลายรูปแบบ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 มีแผนขยายสาขา ภายใต้แบรนด์แม็คโคร 6 สาขา และขยายซูเปอร์มาร์เก็ตภายใต้แบรนด์โลตัส 3 สาขา
พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มในการใช้สินทรัพย์เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการปรับรูปแบบสาขาให้เหมาะสมสำหรับลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ดีที่สุด
ตั้งเป้ายอดขาย Omni Channel 15% ปี 256
นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มยอดขายจาก Omni Channel โดยใช้เครือข่ายสาขากว่า 2,700 แห่ง ในการเป็นศูนย์การจัดส่งสินค้าขนาดเล็ก (Micro Fulfilment) ผนวกทัพเถ้าแก่ขาย (Salesforce Team) เพื่อสร้างยอดขายในทุกมิติ โดยเฉพาะการนำเสนอสินค้าและโปรโมชันแบบเฉพาะบุคคล (Hyper-Personalization) ที่คาดจะเพิ่มสัดส่วนยอดขาย Omni Channel เป็น 15% ของยอดขายรวมภายในปี 2567
พร้อมมีแผนปรับโฉมพื้นที่ศูนย์การค้าในสาขาเดิมทั่วประเทศ เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิตของคนทุกวัยในชุมชน (Community Center)
ด้วยการออกแบบให้แต่ละสาขามีสินค้าและบริการ และร้านค้าเช่าที่แตกต่างกันไปตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนในชุมชนอีกด้วย
สำหรับแผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่ส่งเสริมการเป็น Community Center เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ และจับจ่ายมากขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมให้รายได้ค่าเช่าและรายได้จากการให้บริหารศูนย์การค้าให้มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ไตรมาส 3 รายได้กว่า 1 แสนล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม119,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากยอดขายภายในสาขา การขายออนไลน์ การขายนอกร้านและการส่งสินค้าถึงลูกค้า (Omni Channel)พร้อมทั้งการเติบโตของรายได้ค่าเช่า
รวมถึง การให้บริการศูนย์การค้า ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่กำไรสุทธิที่ไม่รวมผลขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจร้านค้าส่ง (Wholesale Business) ในประเทศสาธารณประชาชนจีน มีจำนวน 1,716 ล้านบาท เติบโต 7% ซึ่งเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นถ้าเทียบกับครึ่งปีแรก
9 เดือนแรกปีนี้ กำไร 5,358 ล้านบาท
สะท้อนความแข็งแกร่งของการดำเนินงาน ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้รวม 361,336 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 5,358 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเวลาเดียวกัน
ขณะที่กำไรสุทธิที่ไม่รวมการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการคืนเงินกู้ระยะยาวก่อนกำหนดและขาดทุนจากขายสินทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจร้านค้าส่ง (Wholesale Business) ในประเทศสาธารณประชาชนจีน มีจำนวน 5,496 ล้านบาท เติบโตอัตรา 5%