ธุรกิจคอนโซลเกมแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ ยอดขาย Xbox Series X/S ไม่ดีนัก Sony PlayStation 5 ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และอนาคตของ Nintendo Switch 2 ยังไม่แน่นอน หลายคนกังวลว่าธุรกิจคอนโซลแบบดั้งเดิมกำลังตกอยู่ในอันตรายมีโอกาสเสื่อมความนิยม
เครื่องเกมคอนโซล ยังจำหรือไม่ ธุรกิจเกมคอนโซลแบบเดิมกำลังจะตาย ?
จากรายงานของ IGN ระยุว่า วงการเกมคอนโซลอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ยอดขาย Xbox Series X และ S กำลังไม่ดีนัก Sony มีสัญญาณว่า PlayStation 5 ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ Nintendo Switch 2 ก็ไม่แน่นอนว่าจะออกเมื่อไหร่ หลายคนเริ่มกังวลว่าธุรกิจคอนโซลแบบดั้งเดิมกำลังอยู่ในอันตราย สาเหตุมีหลายอย่าง หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือยอดขายคอนโซลไม่ได้โตขึ้นมากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีฐานลูกค้าใหญ่ก็จริง แต่เล่นแค่เกมหลักไม่กี่เกมเท่านั้น ทำให้เกมอื่นไม่ค่อยมีคนสนใจ หลังช่วงโควิดที่รายได้พุ่งสูงเพราะรูปแบบหาเงินใหม่ๆอย่าง "battle passes" หลายคนเริ่มสงสัยว่าวงการจะเติบโตต่อไปยังไง
Peter Moore อดีตผู้บริหารในธุรกิจเกมเชื่อว่า Microsoft กำลังถกกันเรื่องอนาคตของ Xbox ทำไมเราต้องฟังเขา? เพราะเขารู้เรื่องคอนโซลดีมาก เขาเคยทำงานที่ Sega ตอนยุติเครื่อง Dreamcast และมาเป็นหัวหน้าในทีม Xbox ที่เจอทั้งปัญหาใหญ่อย่าง "red ring of death" จนถึงเปิดตัวเวอร์ๆในงาน E3 Moore คือผู้บริหารคนนั้นที่มีรูปสัก Halo 2 บนแขนเพื่อแสดงพลังของ Microsoft ในยุคสงครามคอนโซล จากนั้น เขาย้ายไปบริหาร EA Sports และดูแลเกมยักษ์ใหญ่อย่าง FIFA Peter Moore รู้วิธีทำให้ธุรกิจคอนโซลสำเร็จ (รวมถึงตอนล้มเหลว) ดังนั้นถ้าเขาสงสัยเรื่องอนาคตของคอนโซล ผู้ผลิตคงกำลังคิดหนักไม่แพ้กัน
โดย Moore ให้สัมภาษณ์ยาวกับ IGN เจาะลึกถึงอนาคตของคอนโซลและความเป็นไปได้ของ Microsoft แถมเขายังเปิดเผยว่าการที่ Microsoft ถกเถียงกันว่าจะออกเกมลงในคอนโซลของคู่แข่งหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายปีก่อน พวกเขายังเคยคุยกันว่าจะเอา Halo ลง PlayStation เลยด้วยซ้ำ!
ธุรกิจคอนโซลหยุดโตไปนานแล้ว...!!
มีคนพูดกันเยอะว่าธุรกิจคอนโซลหยุดโต ฐานผู้ใช้หลักๆก็มีเท่าเดิม ถ้าย้อนดูยอดขายเครื่องคอนโซลแต่ละเจนในช่วงหลายปีมานี้ ตัวเลขไม่ได้ขยับมากเลย Phil Spencer (หัวหน้า Xbox) ให้เหตุผลว่าการเลย์ออฟพนักงานเกิดจากการที่อุตสาหกรรมเกมไม่สามารถขยายฐานผู้เล่นให้ใหญ่ขึ้น คุณเห็นด้วยไหม?
Peter Moore ได้ให้ความเหตุว่า ตัวเลขไม่เคยโกหก อย่าลืมว่าธุรกิจฮาร์ดแวร์ (อย่างคอนโซล) นั้นยุ่งยากมาก ถ้าแยกเอาแค่เครื่องคอนโซลมาดูงบกำไร-ขาดทุน จะเห็นว่าโหดมาก แต่มันก็เป็นแค่ตัวกลางให้เราซื้อซอฟต์แวร์และบริการต่างๆที่ผลักดันอุตสาหกรรมจริงๆ ปัญหาที่ Phil อาจจะพูดถึงคือคนรุ่นใหม่จะชินกับการใช้สมาร์ทโฟนทำทุกอย่าง รวมถึงเล่นเกมด้วย
จุดเด่นของคอนโซลคือเสียบแล้วเล่นได้เลย ง่ายและแรง แต่มันก็เป็นแบบนี้มา 35-40 ปีแล้ว สิ่งที่เราเห็นและได้ยินชัดๆจากบริษัทอย่าง Microsoft คือ การที่ระบบคลาวด์จะมาแทนที่ความจำเป็นต้องใช้เครื่องเฉพาะทางหรือเปล่า? การสตรีมเกมจะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นมาเป็นอุปกรณ์ที่เราคุ้นเคย โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนหรือไม่? ผมไม่ได้คิดว่าคนจะเล่นเกมน้อยลงนะ แค่วิธีเล่นมันเปลี่ยน去 คนรุ่นใหม่ไม่ได้อยากจะมานั่งหน้าทีวีกับเกมฮอตสุดของสัปดาห์อีกแล้ว
เราเคยคิด (และกลัว) ไว้ว่าเกมต่อไปคนจะเล่นแบบสั้นๆ กินเวลาไม่มาก เล่นจบได้ใน 10-12 นาที เล่นตอนพักเที่ยงได้ ความบันเทิงทุกอย่างในโลกนี้ แย่งชิงเวลากันอย่างดุเดือด ทั้งโซเชียลมีเดีย TikTok วิดีโอต่างๆ ถึงอุตสาหกรรมเกมจะยังแข็งแรง (อย่าลืมว่าปีนี้เราอาจทำเงินได้ถึง $200 พันล้าน) แต่มันก็กระจัดกระจายไปตามแต่ละภูมิภาค แต่ละแนวเกม วันหนึ่งมีแค่ 24 ชั่วโมง และมีตัวเลือกมหาศาลว่าจะใช้เวลาทำอะไร ทั้งข่าวสาร ความบันเทิงต่างๆ YouTube ช่องสตรีมมิ่งต่างๆ สำหรับตัวผมก็มี Apple TV, Paramount Plus, Peacock, Amazon Prime และอีกมากมายหลายเจ้า ทีวีแบบเดิมยังอยู่ แต่มันดูล้าสมัยเมื่อมีโอกาสเสพคอนเทนต์อื่นๆมากมายขนาดนี้แทนที่จะเล่นคอนโซล
ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเครื่องเกมคอนโซล
ตอนที่ผมอยู่ Microsoft เราก็กังวลเรื่องนี้ ว่ายุคคอนโซลรุ่นนี้จะเป็นรุ่นสุดท้ายหรือเปล่า? โทรทัศน์จะเริ่มมีชิปที่เล่นเกมได้โดยตรงไหม แค่มีจอยก็พอ? หรือว่า PC จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทำไมเราต้องลงทุนมหาศาลกับฮาร์ดแวร์เฉพาะทางอย่างคอนโซล ที่ผลิตทีก็เสียเงินเป็นพันล้าน เราต้องหวังว่าคนจะซื้อเกมเยอะ รวมถึงซื้อบริการอย่าง Xbox Live เพื่อมาชดเชยเงินที่เราขาดทุนไปกับค่าผลิตเครื่อง?
ลองย้อนคิดถึงวงการเพลงดูสิ สมัยก่อนเราเคยใช้ Zune กับ iPod (หรือถ้าเก่ากว่านั้นก็ Discman และ Walkman) ซึ่งเป็นอุปกรณ์เฉพาะทางสำหรับฟังเพลง แต่มันไม่มีแล้วนะ เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะ Spotify หรือ SoundCloud ทุกอย่างเรารวมอยู่บนมือถือหมด ใครให้แผ่น DVD มาผมก็เล่นไม่ได้เหมือนกัน มือถือครอบจักรวาลจริงๆ การเล่นเกมเองก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค
เราดูอะไรอยู่ตอนนี้? เราไม่ได้สนใจทีวีในห้องนั่งเล่นอีกต่อไปแล้ว เรากลับไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองกับเหล่า YouTuber, TikTokers ทุกอย่างกลายเป็นการดู/ฟัง "คอนเทนต์" ตามที่เราต้องการ วงการกีฬาก็ไม่ต่างกัน นี่แหละคือแรงกดดันทั้งหมดที่ Phil พูดถึงเกี่ยวกับคนรุ่นต่อไป (Gen Z) พวกเขากำลังคิดว่าจะซื้อเครื่องเกมที่ต้องลงทุนหลายพันทำไม ในเมื่อมีมือถือ มี PC มี Mac ที่เล่นได้เหมือนกัน แค่หาจอยดีๆหน่อยก็พอแล้ว
ผมคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่พวกเราเผชิญ โดยเฉพาะ Microsoft ที่มีระบบคลาวด์อย่าง Azure อยู่ คงคิดหนักว่าในที่สุดมันจะถึงเวลาของการเล่นเกมผ่านคลาวด์หรือยัง? ถึงเวลาเปิดทีวี 8K แล้วเลือกจากเมนูเกมที่มีเป็นหมื่นๆอย่างง่ายดายหรือเปล่า? ใครกำลังเล่นอะไรอยู่ตอนนี้? แค่คลิกแล้วก็เล่นได้เลย
ตั้งแต่ปี 2007 Microsoft เองก็เริ่มสงสัยแล้วว่านี่จะใช่คอนโซลรุ่นสุดท้ายหรือเปล่า?
Moore กล่าว ใช่ครับ ตอนที่เราทำ Xbox 360 ช่วงปลายยุคก็เริ่มมีเรื่องให้กังวล เพราะถ้าคุณคิดว่า เราเปิดตัวคอนโซลเมื่อกลางปี 2000 แล้วปลายยุคนั้น (ทศวรรษ 2000) จะเป็นยังไง เพราะรอบของการออกเครื่องใหม่มักจะเป็น 5-6 ปี และในอีก 5-6 ปี มันจะหน้าตาอย่างไร? เราจะต้องทำรุ่นใหม่อีกหรือเปล่า? สุดท้าย คำตอบก็คือใช่ เราต้องทำ แต่คำถามนั้นมันเกิดขึ้นแล้วในตอนนั้น
เพราะอะไร? ก็เพราะอินเทอร์เน็ตมันเร็วขึ้นและราคาถูกลง มีแทบจะทุกบ้าน ผมจำได้ดีว่าเรามองไปที่วงการเพลงและสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ทำให้รู้ว่าสตรีมหนังแบบ HD กำลังมาแรง ซึ่งบ้านส่วนใหญ่ก็เริ่มใช้งานได้แล้ว ถามว่าการเล่นเกมจะไม่โดนผลกระทบเหรอ? สิ่งที่ทำให้เรายังไปต่อได้คือขนาดไฟล์เกมตอนนั้นอยู่ที่ 30-40 GB แต่เพลงแค่ 4 MB หนังก็สตรีมแบบเส้นตรง (linear) ไม่ต้องกดอะไร
คิดว่านี่คือยุคคอนโซลรุ่นสุดท้ายแล้วหรือยัง...?
เป็นคำถามที่ดีมากๆครับ ตอนนี้ PS5 บอกว่าพวกเขาอาจจะหยุดทำคอนโซลแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดถึง PS6 เลยนะ ลองดูให้ดีๆ Sony เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์เต็มตัว ดังนั้นเขาคือมาตรฐานในการชี้วัดได้เลย ทาง Microsoft นี่ไม่เหมือนกัน ผมว่าพวกเขาน่าจะชอบให้ทุกอย่างย้ายไปอยู่บนคลาวด์ได้แล้ว ปัญหาข้อเดียวของ Microsoft คือพวกเขาเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟนไม่ได้เท่าคนอื่นเลย ซึ่งเป็นตลาดที่ Apple, Google ผู้ผลิตมือถือต่างๆจะได้ประโยชน์มหาศาล และก็ได้อยู่แล้วด้วย พวกเขาโกยกำไรจากค่าลิขสิทธิ์ 30% แบบมหาศาล โดยแทบจะไม่ได้พยายามอะไรในวงการเกมเลย
แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นคำถามจริงจัง ที่ถูกถามอยู่ใน ทั้งโตเกียว (ฐาน Sony) เรดมอนด์ (ฐาน Microsoft) และ เกียวโต (ฐาน Nintendo) นี่คือสิ่งที่ทุกบริษัทกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ เพราะคุณต้องยอมรับความเสี่ยงในการขาดทุนมหาศาลถ้าจะเริ่มทำคอนโซลรุ่นต่อไป ตอนนี้วงการเราเจอเลย์ออฟกันเยอะมาก อุตสาหกรรมเกมพร้อมที่จะเสี่ยงขนาดนั้นหรือเปล่า? ยกตัวอย่าง Sony ที่เลย์ออฟคนไป 900 คน - มีหลายคนที่อยู่ในอังกฤษ ลูกสาวคนโตสองคนของผมทำงานที่ EA ก็รอดอยู่ แต่ต้องคอยระแวงระวังตลอดเวลา
เราไม่มีทางรู้จริงๆ โดยเฉพาะวงการเทคฯใน Silicon Valley นี่ไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ทุกอย่างเปลี่ยนไวมาก เงินเฟ้อก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงหลายบริษัทโดยเฉพาะในวงการเกมนั้นฟื้นตัวจากช่วงโควิดได้ไม่ดีนัก พวกเขาจ้างคนแบบทุ่มสุดตัว คิดว่าโลกจะหมุนแบบนี้ตลอดไป แต่พอมันไม่เป็นอย่างนั้นก็มีปัญหา ผมเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "ทฤษฎี Peloton" คิดว่าคนจะอยู่บ้านตลอด จะปั่นจักรยานจะเล่นเกมตลอดไป แต่มันไม่ใช่แบบนั้น และถ้าใครคิดแบบนั้น เช่นเดียวกับ Peloton ก็ต้องเจอเข้ากับวิกฤตการเงินอย่างที่เราเห็น
ยุคของเครื่องคอนโซลอาจกำลังจะจบลง โดยเฉพาะฝั่ง Microsoft
สิ่งที่ผมกำลังพูดคือ คำถามเหล่านี้ถูกถามมานานกว่า 20 ปีแล้ว เราพร้อมหรือไม่ที่จะสู้ทางการเงิน ลุยทุ่มทุนค่าพัฒนา ค่าออกแบบชิปต่างๆ? PS6 จะทำอะไรได้ที่ PS5 ทำไม่ได้บ้าง ที่จะทำให้คนตัดสินใจอัพเกรด? หรือจะเป็นแบบเดียวกันกับ Xbox และ Switch? แน่นอนว่าเราไม่อยากได้แค่การอัพเกรดเล็กๆน้อยๆ และผมคิดว่าหลายบริษัทกำลังมองเรื่องนี้อยู่ จะทำอย่างไรให้ยืดวงจรชีวิตของคอนโซลรุ่นนี้ออกไปได้อีก?
ต่อมาถ้าคุณเป็น Microsoft ถ้าคุณคือ Phil Spencer (ประธานฝ่ายแพลตฟอร์ม Xbox ) ก็คงโดน Satya Nadella (CEO Microsoft) เข้ามาถามว่าแผนต่อไปคืออะไร และคอนโซลจะเข้ากับกลยุทธ์ใหญ่อย่างการพัฒนาระบบ Cloud ผ่าน Azure และ AI ได้อย่างไร? เราจะทำอะไรกับพัฒนาเกมโดยใช้ AI ได้บ้าง? จะสร้างเกมได้เร็วขึ้น ถูกขึ้น ใช้คนน้อยลงได้อย่างไร? ผมเชื่อว่าคำถามเหล่านี้กำลังถูกถามกันอยู่
เราทราบว่า Nintendo กำลังสร้างคอนโซลรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า Sony จะทำ PS6 ด้วย แต่ดูเหมือนจะมีเครื่องหมายคำถามว่า Microsoft จะยังทุ่มเทกับ Xbox รุ่นต่อไปอย่างจริงจังอีกไหม? ผมไม่ได้เป็นคนชอบมองโลกในแง่ร้ายนะ แต่ผมคิดว่า Phil กำลังส่งสัญญาณว่าบริษัทคิดต่างไปจากเดิมแล้ว เขาอาจจะคิดเรื่องเอาเกมจาก Activision Blizzard King (สตูดิโอที่ Microsoft เพิ่งซื้อมา)ไปลงในแพลตฟอร์มอื่นๆด้วยก็ได้ เพราะพวกเขาอาจจะไม่มี "แพลตฟอร์ม" ของตัวเองแล้ว และจะกลับไปสู่รากฐานที่แท้จริงของบริษัท คือ การเป็นบริษัท Software และบริการ
Microsoft จะเปลี่ยนจุดยืนมาเป็น third-party หรือไม่
ตอนที่คุณทำงานที่ Sega คุณเห็นบริษัทเปลี่ยนจุดยืนจากเป็นผู้ผลิตคอนโซลเอง (first-party) มาเป็นผู้พัฒนาเกมให้หลายแพลตฟอร์ม (third-party) หลังจากที่ Dreamcast ไม่ประสบความสำเร็จ คุณคิดว่า Microsoft จะทำแบบเดียวกันได้หรือไม่?
ผมคิดว่าคำว่า first-party และ third-party อาจจะหายไป มันจะมีแค่คอนเซ็ปต์ว่า เราสร้างเกมเจ๋งๆ และมีบริการสุดยอดไว้ให้คุณเล่นเกมของเราได้ ส่วนคำพวกนั้น (first/third-party) เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่ยุคที่ฮาร์ดแวร์เป็นตัวกำหนด และผมเชื่อว่าคำถามที่ Nadella (CEO Microsoft) และทีมผู้บริหารจะถาม Phil คือ โอเค เราเพิ่งลงทุนไป $69 พันล้านเพื่อซื้อกิจการ แล้วมองไปอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง Phil? กลยุทธ์ระยะยาวคืออะไร? กำลังคิดอะไรอยู่แน่? แน่นอนว่าคงมีการพูดเรื่องคอนโซลรุ่นใหม่ด้วย แต่ความท้าทายที่มาจาก Nadella จะเป็นคำถามที่ว่า "ถ้าไม่มีฮาร์ดแวร์จะเป็นยังไง?" แน่นอนว่าการพูดคุยแบบนี้กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ และกำลังพิจารณาว่า "ถ้าเราเป็นแบบ EA มากกว่าที่จะเป็นแบบ Sony จะเป็นยังไง?" ผมว่านี่คือสิ่งที่กำลังถูกหารือกันอยู่แน่ๆ
Microsoft ปล่อยเกม exclusive บางเกมลง PlayStation และ Nintendo
เมื่อไม่นานมานี้ Microsoft ปล่อยเกม exclusive บางเกมของตัวเองลง PlayStation และ Nintendo Switch และมีรายงานว่ากำลังพิจารณาเอาเกมดังๆเกมอื่นลงเครื่องคู่แข่งด้วย สมัยที่คุณคุม Xbox คุณเคยทำแบบนี้บ้างไหม? แล้วทำไมคุณคิดว่าตอนนี้ Microsoft ทำแบบนี้?
ผมว่าเขากำลังหยั่งเชิงอยู่ว่าตลาดจะตอบรับยังไง ก็ยังลองๆอยู่ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง แบบว่า โอเค ลองปล่อยเกมนี้ออกไปดูว่าระบบต่างๆมันทำงานได้ดีแค่ไหน ไม่ได้เอาเกมใหญ่ๆอย่าง Halo ไปปล่อยนะ ผมจำได้ว่ามีการคุยกันจริงๆ เรื่องเอา Halo ไปลง PlayStation ด้วย คุณต้องคอยมองหาโอกาสเสมอ เรามักจะเล่นเกมส์จำลองสถานการณ์ (wargaming) ก่อนเปิดตัว Xbox 360 ทีมงานจะเอาตัวเองไปสวมบทเป็นฝ่ายตรงข้ามสักสองสามวัน อันนี้ McKinsey (บริษัทที่ปรึกษา) เป็นคนจัดขึ้นมา ไอเดียคือเพื่อที่จะเข้าใจคู่แข่งได้ดีขึ้น
หน้าที่ของผมคือคิดว่า ถ้าเราเป็น Ken Kutaragi (อดีตหัวหน้า PlayStation) เราจะจัดการกับ Xbox 360 ยังไง? เราจะเล่นงานคู่แข่งยังไงดี เหมือนกับที่พวกเขาใช้กลยุทธ์สร้างความหวาดกลัว/ไม่แน่ใจ (fear, uncertainty, doubt) กับ Dreamcast ตอนนั้น เราใช้เวลาสองวันเต็มๆในการเล่นเกมส์จำลองสถานการณ์นี้ และเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง มันค่อนข้างน่ากลัวนะ เพราะเราคิดว่า เฮ้ย... เราไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลย หรือว่าพวกเขาจะทำแบบนั้นแบบนี้กับเรา? ดังนั้นคุณต้องคอยคิดถึงทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ แม้มันจะฟังดูไร้สาระ พิสดาร หรือหัวรุนแรงขนาดไหนก็ตาม นี่คือสิ่งที่ต้องทำ
มีโอกาสที่ Microsoft จะปล่อย Halo ลง PlayStation
ผมเข้าใจว่าถ้า Microsoft มองว่า โอเค เราได้เงิน $250 ล้าน จากแพลตฟอร์มของเราเอง แต่ถ้าเอา Halo ไปเป็นเกมแบบ third-party เราอาจทำเงินได้ถึงหนึ่งพันล้าน... ก็ต้องคิดให้หนักใช่ไหมล่ะ? คือต้องคิดแบบว่า มันยังควรเก็บไว้ดีไหม? มันคือทรัพย์สินทางปัญญานะ มันใหญ่กว่าแค่เกมเดียว แล้วจะใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างไรได้บ้าง? นี่คือการหารือที่ต้องเกิดขึ้นเสมอ ว่าจะหาประโยชน์จากมันยังไงได้บ้าง
เกม Halo ก็เคยมีช่วงขึ้นๆลงๆนะ แต่ดูสิ Xbox จะไม่ได้เป็น Xbox อย่างทุกวันนี้ ถ้าไม่มี Halo ดังนั้น ผมแน่ใจว่าการหารือเรื่องนี้มีอยู่จริง จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ใครจะรู้? แต่มันถูกพูดถึงอยู่แน่นอน
คิดว่าการต่อต้านจากแฟนพันธ์แท้ Xbox จะมีผลต่อการตัดสินใจของ Microsoft ไหม?
คำถามจริงๆคือ กระแสต่อต้านนั้นจะแรงพอที่จะทำให้พวกเขาไม่ตัดสินใจอะไรที่เป็นรากฐานสำคัญในอนาคตของไม่ใช่แค่ธุรกิจ Microsoft แต่รวมถึงวงการเกมทั้งหมดด้วยหรือเปล่า? แฟนพันธ์แท้พวกนี้ก็มีจำนวนลดลง อายุมากขึ้นไปเรื่อยๆ คุณต้องสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ๆที่เข้ามา เพราะพวกเขาจะเป็นตัวขับเคลื่อนวงการเกมในอีก 10-20 ปีข้างหน้า
ที่มา IGN