ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในเวลานี้ อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังต้องปรับตัวครั้งใหญ่ รถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) หรือ รถEV กลายเป็นถนนสายหลักที่หลายค่ายกระโดดเข้าไป แต่ก็ยังมีอีกหลายค่ายที่มีตัวเลือกในการพัฒนาไปสู่พลังงานสะอาด
ปี 2566 ที่ผ่านมาตลาดรถยนต์ในประเทศไทย คึกคักด้วยกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก ด้วยความหวังว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญการกระโดดเข้ามาทำสงครามราคาของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นตัวช่วยสำคัญในการตัดสินใจเพราะราคารถถูกลง ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนสะสมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยพุ่งสูงอยู่ที่ 161,359 คัน
อย่างไรก็ตามในปี 2567 มีการสำรวจพบทัศนคติคนไทยต่อการซื้อรถยนต์เปลี่ยนไป โดย ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยผลสำรวจ 2024 Global Automotive Consumer Study ซึ่งได้ทำการสำรวจผู้บริโภคจำนวนกว่า 27,000 คนจาก 26 ประเทศทั่วโลก ในช่วงเดือน กันยายน ถึง ตุลาคม 2566 เพื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคยานยนต์ ครอบคลุมผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 5,939 คน ซึ่งรวมถึงผู้บริโภคคนไทยประมาณ 1,000 คน โดยได้ทำการวิเคราะห์ร่วมกับผลการสำรวจข้อมูล Thailand Automotive Consumer Survey 2024 ที่ดีลอยท์ ประเทศไทย ได้ทำการสำรวจในช่วงเดือนเมษายน 2567 กับผู้บริโภคคนไทยอีก 330 คน โดยมีมุมมองที่น่าสนใจใน 2 ประเด็น ดังนี้
ผลการสำรวจแนวโน้มและมุมมองผู้บริโภคต่อยานยนต์ไฟฟ้า
- ผลสำรวจในปี 2567 พบว่าความนิยมของคนไทยในรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) ลดลงจากปีที่ผ่านมา จาก 31 % เหลือเพียง 20%
- รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) ยังคงเป็นทางเลือกอันดับ 1 แต่แนวโน้มลดลงมาเรื่อย ๆ จาก 36 % เหลือเพียง 32 %
- รถยนต์ไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) กลายเป็นทางเลือกที่ร้อนแรงขึ้นมา โดยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเกือบจะเท่ากับ BEV จาก 10 % ในปี 2566 เป็น 19 %ในปีนี้
แนวโน้มความนิยมของคนไทยต่อรถเครื่องยนต์สันดาป ( ICE )สอดคล้องกับ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ จีน แต่สวนทางกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่ความนิยมใน ICE ดีดตัวสูงขึ้น
สำหรับตลาดรถมือสองในไทยรถยนต์สันดาป เป็นทางเลือกอันดับ 1 ที่ 54 % ตามมาด้วยกลุ่มรถไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) 38 % และ รถยนต์ปลั๊กอิน PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รั้งท้ายด้วย BEV ที่ 9%
เหตุผลในการเลือกรถยนต์แต่ละประเภทของคนไทย
เหตุผลที่คนไทยเลือกใช้ BEV พบว่า
73 % ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลง
71 % กังวลกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
49 % ความกังวลกับสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัว และ ประหยัดเรื่องค่าบำรุงรักษา
เหตุผลคนที่ไทยเลือก HEV/PHEV พบว่า
73 % ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลง
68 % ต้องการตัดความกังวลด้านระยะทาง
37 % ต้องการลดปัญหาฝุ่น ควัน และก๊าซเรือนกระจก
เหตุผลที่คนไทยเลือกใช้รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน พบว่า
78 % ต้องการตัดความกังวลด้านระยะทางและการชาร์จ
67 % ต้องการตัดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่อยู่เหนือความคาดหมาย (เช่น แบตเตอรี่ หรือระบบที่เกี่ยวข้อง)
52 % ต้องการความยืดหยุ่นในการบำรุงรักษา และการปรับแต่ง
อย่างไรก็ตามการสำรวจ พบว่า คนไทยเปิดรับกับ BEV มากขึ้น โดยความกังวลของคนไทยที่มีต่อ BEV ระหว่างปี 2566 และ 2567 ในภาพรวมปรับลดลงทุกมิติ โดยมิติที่กังวลสูงสุด ได้แก่ สถานีชาร์จสาธารณะไม่เพียงพอ ปรับลดจาก48% เป็น 46 % ระยะทางในการขับ ปรับลด จาก 44% ในปี 2566 เป็น39% ผลสำรวจพบว่า คนไทยปรับตัวกับเวลาในการชาร์จรถได้นานขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยช่วงเวลาที่รับได้มากที่สุดขยับมาอยู่ที่เวลาประมาณ 21- 40 นาที ที่ 38 % ขยับเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 25%
การชาร์จไฟฟ้าที่บ้านยังคงเป็นความต้องการสูงที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทางเลือกในการชาร์จไฟฟ้านอกบ้านของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยสถานีบริการน้ำมัน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจาก 26 % ในปีที่แล้วเป็น34% ในปีนี้ ที่น่าสนใจคือความนิยมในการการชาร์จไฟฟ้าที่ไหนก็ได้ เพิ่มขึ้นจาก 5 % เป็น 29 % การชาร์จไฟฟ้าที่สถานีเฉพาะสำหรับ BEV ปรับลดลงมาจาก51% เหลือเพียง 21 % ส่วนระยะทางคาดหวังระยะวิ่งได้ต่อการชาร์จต่อครั้งขยับสูงขึ้นเล็กน้อย โดยข้อมูลในปี 2567 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 44 % มีความเห็นว่าระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ควรมีระยะทางระหว่าง 300 ถึง 499 กิโลเมตร
ปัจจัยในการซื้อรถของคนไทย
ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถคันต่อไปมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยปัจจัยเรื่องราคามีการปรับเพิ่มขึ้นจาก18% ในปี 2566 เป็นร้อยละ 47 ด้านสมรรถนะปรับเพิ่มขึ้นจาก 26 % เป็น51% และ คุณสมบัติต่าง ๆ ของรถ ปรับเพิ่มขึ้นจาก 49 % เป็น 53% คุณภาพของสินค้า ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสูงสุดในปี 2567 แต่มีการปรับลดจาก 64 % เป็น 53 % ความคุ้นเคยในแบรนด์ปรับลดจาก 33 % เป็น 31 % ภาพลักษณ์ของแบรนด์ปรับลดจาก 37% เป็น34%
ผลสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามคนไทย 64 % มีความสนใจที่จะลองใช้แบรนด์ใหม่ ๆ สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค ในอัตราที่เท่า ๆ กับมาเลเซีย แต่รองจากเวียดนาม และฟิลิปินส์ ด้วยเหตุผลว่า มีเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการ ( 52 %) อยากลองอะไรใหม่ ๆ (49 %) และมองหารถที่ราคาจับต้องได้ ( 36 %)
สำหรับประสบการณ์ในการซื้อรถของคนไทย ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น VR หรือ AR ที่สามารถมอบประสบการณ์ในการเลือกอุปกรณ์ต่าง ๆ และความสะดวกจากธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์ แต่คนไทยถึง 92 % ยังต้องการที่จะได้สัมผัสตัวรถจริงก่อนการตัดสินใจ โดย91% ต้องการทดลองขับรถจริงก่อน ซึ่งมีสัดส่วนเท่ากับการได้เจรจาในรายละเอียดต่าง ๆ กับพนักงานขาย
คนไทย 74 % สะดวกจ่ายเงินด้วยการผ่อนชำระ มีเพียง 21% ต้องการซื้อรถด้วยเงินสด และ 5 % ต้องการผ่อนแบบบอลลูน แต่คนไทยรุ่นใหม่ (ช่วงอายุ18-34 ปี) 47 %สนใจบริการแบบสมัครสมาชิก (Vehicle Subscriptions) มากกว่าการเป็นเจ้าของรถ โดยผู้ตอบแบบสอบถามคนไทย 82 % ตอบว่าค่าบำรุงรักษาและราคาอะไหล่ มีผลต่อการตัดสินใจเลือกรุ่นรถมากถึงมากที่สุด โดย 63% ยินดีจะซื้อแพ็กเกจค่าบำรุงรักษาแบบเหมาจ่าย ได้แก่ น้ำมันเครื่อง อะไหล่สิ้นเปลือง และ ค่าบริการ และ84% ยินดีที่จะซื้อประกันอุบัติเหตุสำหรับแบตเตอรี่หากใช้รถ BEV
มร. ซอง จิน ลี Automotive Sector Leader, ดีลอยท์ เซาท์อีสต์เอเชีย กล่าวว่า การเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคทั่วโลก ช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ ๆ ทั้งในระดับโลก และ ระดับภูมิภาค ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ในการยกระดับคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ ในปี 2024 รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากประหยัดน้ำมัน ลดความกังวลเรื่องระยะทาง และลดการปล่อยมลพิษ นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค ช่วยให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ สามารถปรับตัวรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า และปรับกลยุทธ์การขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนายมงคล สมผล Automotive Sector Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า “ความเข้าใจในมุมมองของผู้บริโภคทำให้เรามองเห็นทิศทางในการปรับตัวของอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สถานีชาร์จ สินเชื่อ สื่อสาร หรือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องปรับตัวไปพร้อม ๆ กัน ผู้ผลิตที่สามารถนำเสนอทางเลือกที่คุ้มค่าและให้ความมั่นใจในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกินของลูกค้าในระยะยาวได้ จะได้รับความเชื่อมั่นซึ่งจะกลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว สำหรับผู้บริโภค ก็จะได้รับอานิสงส์จากการแข่งขันที่ดุเดือด มีทางเลือกที่หลากหลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งตัวรถเอง ผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์”
ดร. โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการฝ่าย Clients & Market ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดยานยนต์ในประเทศไทย ผลจากการวิเคราะห์แนวโน้มและเก็บข้อมูลตามบริบทจากรายงานต่าง ๆ ของดีลอยท์ยืนยันให้เห็นแล้ว ว่าคนไทยไม่ได้คิดแบบเดิมอีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ”
ที่มา : ดีลอยท์ ประเทศไทย