อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อสองค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง Suzuki และ Subaru ตัดสินใจปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในประเทศไทย ด้วยการยุติการผลิตภายในประเทศ แม้จะเป็นการตัดสินใจที่คล้ายคลึงกัน แต่เบื้องหลังการประกาศนี้กลับมีเหตุผลและทิศทางที่แตกต่างกัน โดย Suzuki มุ่งสู่การเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ขณะที่ Subaru เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศยุติการดำเนินงานผลิต ณ โรงงานในประเทศไทย ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย การตัดสินใจครั้งนี้เป็นไปตามแผนปรับโครงสร้างการผลิตทั่วโลก เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (SMT) เริ่มดำเนินการผลิตในปี พ.ศ. 2555 ภายใต้โครงการรถยนต์อีโคคาร์ของรัฐบาลไทย โดยมีจุดมุ่งหมายในการผลิตและส่งออกรถยนต์ขนาดเล็ก ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษ โรงงานแห่งนี้ได้สร้างผลงานที่น่าภาคภูมิใจ ด้วยกำลังการผลิตและส่งออกรถยนต์สูงสุดถึง 60,000 คันต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของตลาด ทำให้ซูซูกิตัดสินใจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลก การยุติการผลิตในประเทศไทยจึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
แม้จะยุติการผลิตในประเทศไทย ซูซูกิยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการนำเข้ารถยนต์จากโรงงานในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนประเทศญี่ปุ่นและอินเดีย ซึ่งจะช่วยให้ซูซูกิสามารถนำเสนอรถยนต์หลากหลายรุ่น หลากหลายราคา และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก รถยนต์อเนกประสงค์ หรือรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
เพื่อสนับสนุนนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนของภาครัฐ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซูซูกิมีแผนที่จะนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่น รวมถึง HEV (Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ทำให้ประหยัดน้ำมันและลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยซูซูกิคาดว่าจะสามารถเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในประเทศไทยได้ภายในปี พ.ศ. 2569
สำหรับบริการหลังการขาย ทางซูซูกิขอยืนยันว่าจะยังคงให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษา การซ่อมแซม หรือการจัดหาอะไหล่ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์ซูซูกิ
สำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจของ Suzuki และ Subaru ในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทั้งสองบริษัทต่างตัดสินใจยุติการผลิตในประเทศไทย แต่ด้วยเหตุผลและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ตารางต่อไปนี้จะสรุปความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการปรับโครงสร้างของ Suzuki และ Subaru
ประเด็น | Suzuki | Subaru |
เหตุผลหลักในการปรับโครงสร้าง | มุ่งเน้นการพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ |
หลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงกับรถยนต์จากจีน
|
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินงาน | ยุติการผลิตในประเทศไทยสิ้นปี 2568 และนำเข้ารถยนต์จากโรงงานในภูมิภาคและต่างประเทศ |
หยุดการผลิตในประเทศไทยสิ้นปี 2567 และนำเข้ารถยนต์ทั้งคันจากญี่ปุ่น
|
ผลกระทบต่อโรงงานในประเทศไทย | ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด |
โรงงานจะถูกเก็บรักษาไว้เพื่อรอโอกาสใช้ประโยชน์ในอนาคต
|
ผลกระทบต่อพนักงาน | ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด |
พนักงานจะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมาย
|
กลยุทธ์ในอนาคต | มุ่งสู่การเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย |
ยังไม่มีการประกาศกลยุทธ์ที่ชัดเจน นอกเหนือจากการนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น
|
ทั้ง Suzuki และ Subaru ต่างตัดสินใจยุติการผลิตในประเทศไทย แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน Suzuki มุ่งเน้นไปที่การพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าและการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ของตลาดโลก ในขณะที่ Subaru เน้นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงกับรถยนต์จากจีน ทั้งสองบริษัทยังคงมุ่งมั่นในการทำตลาดในประเทศไทย โดยจะนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศมาจำหน่ายแทน
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
การตัดสินใจของทั้งสองบริษัทสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี