ธุรกิจการตลาด

ไอศกรีม Swensen's ไอศกรีมอเมริกัน ที่แทบไม่มีขายในอเมริกา แต่ดังในประเทศไทย

18 มิ.ย. 67
ไอศกรีม Swensen's ไอศกรีมอเมริกัน ที่แทบไม่มีขายในอเมริกา แต่ดังในประเทศไทย

ใครจะคิดว่าร้านไอศกรีมเล็กๆ ในซานฟรานซิสโก จะกลายมาเป็นตำนานที่ครองใจคนทั่วโลก และยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยกลับกลายเป็นดินแดนที่สเวนเซนส์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จนมีสาขามากกว่าประเทศต้นกำเนิดเสียอีก เรื่องราวความเป็นมาของสเวนเซนส์ และเส้นทางกว่าจะมาถึงจุดสูงสุดในประเทศไทย เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยรสชาติแห่งความสำเร็จ

ไอศกรีม Swensen's ไอศกรีมอเมริกัน ที่แทบไม่มีขายในอเมริกา แต่ดังในประเทศไทย

78111197_3287559187920757_216

บริษัทสเวนเซ่นส์ (Swensen’s) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1948 โดย เอิร์ล สเวนเซ่น (Earle Swensen) ซึ่งได้สั่งสมประสบการณ์การทำไอศกรีมระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพเรือสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสาขาแรกตั้งอยู่บนพื้นที่ร้านไอศกรีมเดิมที่ปิดตัวลง บริเวณมุมถนน Union และ Hyde Streets ใกล้กับเส้นทางรถรางในย่าน Russian Hill ในซานฟรานซิสโก

ถึงแม้ว่ารสชาติโปรดของผู้ก่อตั้งคือวานิลลา แต่สเวนเซ่นส์ก็ได้พัฒนารสชาติไอศกรีมกว่า 150 รสชาติ ภายใต้สโลแกน "Good as Father Used to Make" หรือ "อร่อยเหมือนที่พ่อเคยทำให้กิน" โดยในช่วงแรก ร้านเน้นจำหน่ายไอศกรีมและผลิตภัณฑ์ของหวานแช่แข็งอื่นๆ (เช่น ซันเด และบานาน่าสปลิท) สำหรับซื้อกลับบ้านเป็นหลัก ต่อมา แฟรนไชส์สเวนเซ่นส์สาขาอื่นๆ ได้มีการเพิ่มพื้นที่นั่งรับประทานภายในร้าน และเพิ่มเมนูอาหารคาวประเภทต่างๆ เช่น แซนด์วิช และแฮมเบอร์เกอร์


ถอดความสำเร็จ BEARHOUSE ขายชานมไข่มุกอย่างไรให้ปัง ขยายสาขาอย่างไร ไม่ให้พัง 


ทำไมร้าน สเวนเซนส์ ถึงเหลือเพียงหนึ่งเดียวในสหรัฐอเมริกา

920879

ในช่วงปี 1970 สเวนเซนได้ขายสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านไอศกรีมและร้านอาหารสเวนเซนให้กับ วิลเลียม เมเยอร์ และกลุ่มนักลงทุน แต่ยังคงสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในซานฟรานซิสโก และดำเนินกิจการร้านดั้งเดิมต่อไปจนถึงปี 1994 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารชุดใหม่ บริษัทขยายสาขาไปถึง 400 สาขา ส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ในช่วงปี 1980 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจกลับซบเซาลงในช่วงปี 1990 จนจำนวนสาขาหดลงครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเข้าซื้อกิจการและขยายสาขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดเอเชีย ในขณะเดียวกัน สาขาในสหรัฐอเมริกาก็ทยอยปิดตัวลงจนเหลือเพียงสามแห่ง ซึ่งรวมถึงร้านไอศกรีมดั้งเดิมในซานฟรานซิสโกและร้านอาหารหลักในไมอามี ในปี 2022 สาขาแฟรนไชส์สุดท้ายในสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ใน Coral Gables รัฐฟลอริดา ได้ปิดตัวลงหลังจากดำเนินกิจการมา 44 ปี ส่งผลให้ร้านในซานฟรานซิสโกเป็นร้านสเวนเซนส์แห่งสุดท้ายในสหรัฐอเมริกา

สาเหตุที่ สเวนเซนส์ ในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาหลายอย่างที่นำไปสู่การปิดสาขาจำนวนมาก จนเหลือเพียงสาขาเดียวในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสาขาแรกเริ่มของแบรนด์ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สเวนเซนส์ปิดตัวลงในสหรัฐอเมริกา อาทิ

  • การขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปี 1980: สเวนเซนส์ขยายสาขาแฟรนไชส์อย่างรวดเร็วในช่วงปี 1980 ซึ่งอาจทำให้การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของแต่ละสาขาเป็นไปได้ยากขึ้น
  • การแข่งขันที่รุนแรง: ตลาดไอศกรีมในสหรัฐฯ มีการแข่งขันที่สูงมาก โดยมีแบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง Baskin-Robbins และ Häagen-Dazs เป็นคู่แข่งสำคัญง
  • การเปลี่ยนแปลงรสนิยมของผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวอเมริกันเริ่มหันมาสนใจไอศกรีมพรีเมียมและรสชาติที่แปลกใหม่มากขึ้น ซึ่งสเวนเซนส์อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ดีเท่าคู่แข่ง
    ปัญหาการบริหารจัดการ: การเปลี่ยนมือผู้บริหารหลายครั้งและการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สเวนเซนส์สูญเสียความนิยมในสหรัฐฯ
  • การมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศ: หลังจากประสบปัญหาในสหรัฐฯ สเวนเซนส์ได้หันไปมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งประสบความสำเร็จมากกว่า ทำให้บริษัทอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับตลาดสหรัฐฯ มากนัก

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้สเวนเซนส์ต้องปิดสาขาในสหรัฐฯ ลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงสาขาเดียวที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสาขาที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้า

ปัจจุบัน บริษัท International Franchise Inc. (IFI) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Markham รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เป็นผู้ถือสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ทั่วโลก โดยได้เข้าซื้อกิจการจาก CoolBrands International บริษัทผู้ผลิตอาหารแช่แข็งรายใหญ่ในปี พ.ศ. 2549 นอกจากสเวนเซ่นส์แล้ว IFI ยังเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ Yogen Früz, I Can't Believe It's Yogurt (ICBY), Golden Swirl, Yogurty's, Dreamery และ Bresler's Ice Cream ซึ่งล้วนแต่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในระดับสากล

ปัจจุบัน เครือข่ายร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์มีสาขามากกว่า 400 แห่งทั่วโลก ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญๆ ได้แก่ เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ อินเดีย ไต้หวัน สิงคโปร์ กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย ลาว และปากีสถาน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายธุรกิจและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

สเวนเซนส์ แห่งสุดท้ายในสหรัฐอเมริกา

775103

สำหรับ ร้านไอศกรีมสเวนเซนส์ในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นร้านสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่ในสหรัฐอเมริกา ร้านนี้มีประวัติยาวนานกว่า 7 ทศวรรษ และยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้อย่างดี โดย Campana เจ้าของร้านคนปัจจุบัน ได้รับช่วงต่อจาก Earle Swensen ผู้ก่อตั้ง และดูแลร้านมาตั้งแต่ปี 1964 จนถึงช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 เมื่อร้านต้องปิดตัวลงชั่วคราว Campana ก็กังวลว่าจะไม่สามารถกลับมาเปิดร้านได้อีกเนื่องจากอายุมากแล้ว จึงตัดสินใจขายร้านให้กับลูกสาวและลูกเขยของเขา

ลูกสาวและลูกเขยของ Campana ได้เข้ามาบริหารร้านต่อ และปรับปรุงร้านให้ทันสมัยขึ้น เช่น เพิ่มเครื่องรับบัตรเครดิต และเข้าร่วมบริการส่งอาหารออนไลน์ นอกจากนี้ พวกเขายังคงรักษาสูตรไอศกรีมดั้งเดิมของสเวนเซนส์ไว้ และผลิตไอศกรีมสดใหม่ทุกวันภายในร้าน สำหรับร้านสเวนเซนส์ในซานฟรานซิสโกไม่เพียงแต่เป็นร้านไอศกรีมที่อร่อย แต่ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำสำหรับคนในท้องถิ่นอีกด้วย ลูกค้าหลายคนมีความผูกพันกับร้านนี้มาตั้งแต่เด็ก และยังคงกลับมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ และแม้ว่าสเวนเซนส์จะเคยขยายสาขาเป็นแฟรนไชส์ไปทั่วสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันเหลือเพียงสาขาเดียวในซานฟรานซิสโกเท่านั้น เนื่องจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของบริษัทแม่ ซึ่งบังคับให้แฟรนไชส์ซื้อไอศกรีมจากโรงงานแทนที่จะทำเอง ทำให้แฟรนไชส์หลายแห่งต้องปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม ร้านสเวนเซนส์ในซานฟรานซิสโกยังคงอยู่รอดมาได้ และยังคงเป็นที่รักของลูกค้า ด้วยรสชาติไอศกรีมที่อร่อย และบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน

ทำไม สเวนเซนส์ ถึงสร้างปรากฏการณ์ในไทย

341098

สเวนเซนส์ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมไอศกรีมของประเทศไทย นับตั้งแต่การเปิดสาขาแรก ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ในปี พ.ศ. 2529 ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ดส์ ไอศกรีมสัญชาติอเมริกันแบรนด์นี้ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวไทยทุกกลุ่ม โดยในปี 2529 ไมเนอร์ ฟู้ดได้รับสิทธิแฟรนไชส์ในการดำเนินงานแบรนด์สเวนเซ่นส์ใน 32 ประเทศครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย และตะวันออกกลาง

เพื่อนำเสนอประสบการณ์ซันเดย์ พร้อมบริการที่ยอดเยี่ยมบนพื้นฐาน Good Quality Good Service และ Value for Money โดยปัจจุบันเปิดสาขาสเวนเซ่นส์แล้วมากกว่า 340 สาขาใน 5 ประเทศ นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นตลาดหลักที่สร้างรายได้สำคัญให้กับสเวนเซนส์ ด้วยจำนวนสาขากว่า 300 แห่งทั่วประเทศ

ความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่โดดเด่นและแตกต่างของสเวนเซนส์ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์เมนูที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใคร อาทิ ไอศกรีมรสทุเรียน ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง หรือแม้กระทั่งไอศกรีมไก่ทอดที่เคยสร้างกระแสในโลกออนไลน์ รวมถึงการออกแบบร้านในรูปแบบใหม่ๆ เช่น ร้านที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงที่สามย่านมิตรทาวน์ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้สเวนเซนส์ยังคงความทันสมัยและเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าตลาดของหวานและไอศกรีมจะมีการแข่งขันที่สูง แต่สเวนเซนส์ก็ยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดได้อย่างมั่นคง ด้วยการยึดมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบ การบริการที่เป็นเลิศ และการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า สเวนเซนส์จึงไม่ได้เป็นเพียงร้านไอศกรีม แต่ยังเป็นสถานที่ที่มอบความสุขและความทรงจำดีๆ ให้กับทุกคนในครอบครัว

ใครจะคิดว่า จากร้านไอศกรีมเล็กๆ ในซานฟรานซิสโก สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก และที่สำคัญที่สุด ในวันนี้ สเวนเซนส์ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย สเวนเซนส์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รสชาติที่อร่อย บรรยากาศที่อบอุ่น และการไม่หยุดพัฒนาสิ่งใหม่ๆ คือปัจจัยสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

ที่มา sfgateswensensofsfminorfood และ swensensicecream

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT