ธุรกิจการตลาด

สำรวจเผยเจน Y และ Z ไทยไม่กล้าซื้อบ้าน เหตุเงินน้อย ภาระมาก ขออาศัยในบ้านพ่อแม่ไปก่อน

11 ก.ค. 67
สำรวจเผยเจน Y และ Z ไทยไม่กล้าซื้อบ้าน เหตุเงินน้อย ภาระมาก ขออาศัยในบ้านพ่อแม่ไปก่อน

สำรวจ SCB EIC เผย คนไทยเจน Y และ Z ยังไม่กล้าซื้อบ้าน เพราะมองว่า รายได้ของตนยังไม่เพียงพอที่จะซื้อที่พักอาศัยได้ ส่วนใหญ่เลื่อนแผนการซื้อบ้านออกไปอีก 3-5 ปี เพราะมองว่าในเวลานั้นสถานการณ์เศรษฐกิจและสถานะการเงินของตนจะดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนไทยมีกำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะกำลังซื้อในสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น ที่อยู่อาศัย และรถยนต์ เพราะสินทรัพย์เหล่านี้ต้องอาศัยการกู้ยืมจากธนาคาร ซึ่งมีต้นทุนแพงขึ้นจากดอกเบี้ยที่สูง อีกทั้ง ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ลดลง

ล่าสุด การสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey ประจำปี 2567 ของ SCB EIC สำนักวิจัยด้านเศรษฐกิจของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รายงานว่า ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่า 50% ยังไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย หรืออาจมีแผนหลังจาก 5 ปีข้างหน้า จากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ยังกดดัน เช่น ภาระหนี้ครัวเรือน ภาระค่าใช้จ่าย ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน 

โดยความต้องการซื้อในช่วงไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า มีสัดส่วนลดลงจากการสำรวจปีก่อนหน้า ขณะที่ความต้องการซื้อส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่คาดหวังว่า สถานการณ์เศรษฐกิจ และกำลังซื้อจะฟื้นตัวมากขึ้น รวมถึงมีความพร้อมทางการเงินมากกว่าในปัจจุบัน 

นอกจากกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำแล้ว ปัจจัยด้านเศรษฐกิจนี้ยังส่งผลต่อคนอายุน้อย เช่น วัยทำงานที่มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่าง ไม่ว่าเป็นคนในเจน Y (28-43 ปี) หรือ เจน Z วัยทำงาน (22-27 ปี) ที่มองว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ได้ จึงเลือกที่จะปรับตัว และอยู่อาศัยกับครอบครัวแทน

ทั้งนี้ จากการสำรวจ ยังพบว่า กำลังซื้อกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-บนมีแนวโน้มฟื้นตัวได้มากขึ้น และช่วยประคองตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 และในระยะ 2 ปีข้างหน้าได้บางส่วน โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็น real demand ที่ต้องการซื้อเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และหลังแรก ตามลำดับ

ตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน/เก็งกำไร/ปล่อยเช่า ยังฟื้นตัวได้ไม่มาก จากแรงกดดันด้านกำลังซื้อ และมาตรการ LTV โดยส่วนใหญ่ยังเป็นการลงทุนคอนโดในทำเลกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงมีความต้องการจากผู้เช่า กลุ่มที่ต้องการอยู่ใกล้ที่ทำงาน สถานศึกษาของตนเอง และสถานศึกษาของบุตรหลาน และกลุ่มที่งบประมาณไม่พอสำหรับการซื้อเป็นหลัก

ข้อจำกัดทางการเงินทำผู้ซื้อมองราคาและทำเลมากกว่าพื้นที่ใช้สอย

นอกจากความต้องการซื้อที่ลดลงแล้ว ปัจจัยทางเศรษฐกิจเหล่านี้ยังทำให้ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา และราคาที่เข้าถึงได้ กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับผู้ซื้อ และทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองได้รับความนิยมสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยด้านทำเลที่เดินทางสะดวกหรือใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกยังคงมีความสำคัญมากกว่าพื้นที่ใช้สอย 

โดยจากการสำรวจ พบว่า ผู้ซื้อในกลุ่มเจน Y และเจน Z ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง และต้องการรักษาสมดุลกับความพอเพียงของพื้นที่ใช้สอยควบคู่ไปด้วย และปัจจัยด้านทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง หรือการอยู่ใกล้เมือง ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น 

โดยทำเลที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ ทำเลฝั่งทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ ขณะที่ความสามารถปรับแต่งฟังก์ชันการใช้ประโยชน์ภายในบ้านได้ (customization) และเทคโนโลยี smart home คือ ปัจจัยที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มจากงบประมาณเดิมมากที่สุด 

โดยรายละเอียดความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท มีดังนี้

886465

สำหรับมาตรการในการกระตุ้น มาตรการภาครัฐยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยมาตรการด้านดอกเบี้ยจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยจากกลุ่มที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยได้มากที่สุด ตามมาด้วยมาตรการอื่นๆ เช่น การลดหย่อนภาษี รวมถึง การผ่อนคลาย LTV ที่จะช่วยให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 กู้ได้ 100%

SCB แนะผู้พัฒนาอสังหาฯ ขยายตลาดต่างชาติ ใส่ใจ ESG

SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการยังเผชิญความท้าทายในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จากปัจจัยเศรษฐกิจที่ยังคงกดดันการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป 

เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายดังกล่าว SCB EIC แนะแนวทางการปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ ดังนี้

  • พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงต้นทุนราคาที่ดิน หลีกเลี่ยงทำเลที่มีการแข่งขันรุนแรง หรือมีหน่วยเหลือขายสะสมสูง รวมถึง การกระจาย portfolio ให้มีตัวเลือกที่อยู่อาศัยในหลากหลายระดับราคายังคงมีความจำเป็น
  • ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อสร้างความแตกต่าง สามารถตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึง ลด pain point ของผู้ซื้อในปัจจุบันที่ความต้องการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ทันอยู่เสมอ 
  • ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ จะเป็นอีกทางเลือกในช่วงที่ตลาดที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มซบเซา ซึ่งกลุ่มผู้ซื้อที่มีสัดส่วนมากที่สุดคาดว่ายังคงเป็นชาวจีน ขณะที่กำลังซื้อจากรัสเซีย รวมถึงเอเชีย เช่น เมียนมา ไต้หวัน ก็ยังมีศักยภาพ 
  • บริหารจัดการต้นทุนการพัฒนาโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอัตรากำไร ควบคู่กับการรักษามาตรฐานที่อยู่อาศัย และการให้บริการหลังการขาย เพื่อสร้างความพึงพอใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เช่น การนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดขั้นตอนการก่อสร้าง และลดการใช้แรงงานมาใช้มากขึ้น การรักษาความสัมพันธ์ และสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ กับผู้รับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องใน supply chain
  • ให้ความสำคัญกับเทรนด์ ESG เนื่องจากผู้ซื้อในปัจจุบันโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเทรนด์ ESG มากขึ้น โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยควรหันมาให้ความสำคัญ และดำเนินงานภายใต้กรอบ ESG อย่างครอบคลุม 

 

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT