ปี 2567 นับเป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจไทย ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกเต็มไปด้วยสัญญาณเตือนถึงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องปิดตัวลงอย่างไม่คาดฝัน ไปจนถึงการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วประเทศ บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมทั้งวิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบที่ตามมา เพื่อให้เห็นภาพรวมของความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญ และความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน
วิกฤตเศรษฐกิจไทย 67 ธุรกิจไทยล้มครืน เลิกจ้าง ปิดกิจการหลายราย
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจไทย นำไปสู่การปิดตัวลงของบริษัทหลายแห่ง และการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยและความท้าทายที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมเผยให้เห็นว่า ในไตรมาสแรกของปี 2567 มีโรงงานปิดกิจการสูงถึง 367 แห่ง คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนกว่า 9,417.27 ล้านบาท โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ชลบุรี กรุงเทพมหานคร และพระนครศรีอยุธยา
บริษัทใหญ่ปิดตัว อุตสาหกรรมยานยนต์สะดุด
ไม่เพียงแต่ธุรกิจขนาดเล็กเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งก็ต้องตัดสินใจปิดกิจการลงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น "แฟรี่แลนด์" สวนสนุกชื่อดังที่ดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานถึง 36 ปี ได้ประกาศขายกิจการในราคา 550 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้อีกต่อไป นอกจากนี้ "แพนด้าสุกี้" ร้านอาหารชื่อดังยุค 90 ก็ได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 2567 สร้างความตกใจให้กับผู้บริโภคจำนวนมาก
ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก "ซูบารุ" ประกาศหยุดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2567 เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ขณะที่ "ซูซูกิ" ก็ประกาศยุติการผลิตที่โรงงานในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2568 เช่นกัน นอกจากนี้ "เกรท วอลล์ มอเตอร์" บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ก็ได้ปิดสำนักงานใหญ่ในยุโรปและเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด 100 คน
ผลกระทบจากการเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก
จากการปิดกิจการของบริษัทต่างๆ นำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก บริษัทขนาดใหญ่ในจังหวัดชลบุรีแห่งหนึ่งได้ประกาศปลดพนักงานกว่า 3,000 คน สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวจำนวนมาก นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ก็ได้ยุติรายการ "เช้านี้ที่หมอชิต" และมีการเลิกจ้างพนักงานในรายการด้วย นอกจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดเผยตัวเลขน่าตกใจ!ใน ไตรมาสแรกปี 2567 ว่าเวลานี้มีพนักงานถูกเลิกจ้างมากกว่า 10,066 คนไปแล้ว
ผลกระทบเป็นลูกโซ่ การปิดกิจการและการเลิกจ้างพนักงานไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อพนักงานและครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย เมื่อคนตกงาน รายได้ลดลง กำลังซื้อก็ลดลงตามไปด้วย ทำให้ธุรกิจอื่นๆ ได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่
การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2567
พนักงานและลูกจ้าง
- พัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง: ในสภาวะที่ตลาดแรงงานมีความผันผวนสูง การพัฒนาทักษะที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการของตลาด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานใหม่หรือรักษางานเดิมไว้ได้ การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล หรือทักษะที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
- สร้างเครือข่าย: การมีเครือข่ายที่ดีทั้งในและนอกองค์กร จะช่วยให้พนักงานได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่เปิดรับ หรือโอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
- วางแผนการเงินส่วนบุคคล: การมีเงินออมสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน การวางแผนการเงินที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงทางการเงิน
- ปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่: ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พนักงานต้องพร้อมที่จะปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ การมีความยืดหยุ่นและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง จะช่วยให้พนักงานสามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาได้
นายจ้างและเจ้าของกิจการ
- ปรับรูปแบบการทำงาน: การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน เช่น การทำงานจากระยะไกล หรือระบบอัตโนมัติ สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้
- ลงทุนในพนักงาน: การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะให้กับพนักงาน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร และสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กร
- สื่อสารอย่างเปิดเผยและโปร่งใส: การสื่อสารกับพนักงานอย่างเปิดเผยและโปร่งใสเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัท จะช่วยสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา
- สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี: การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนา จะช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ได้
- ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ: การปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การหาตลาดใหม่ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดและเติบโต
- บริหารความเสี่ยง: การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การกระจายความเสี่ยงทางการลงทุน หรือการทำประกันภัย จะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก
- แสวงหาความช่วยเหลือ: การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากภาครัฐ จะช่วยให้เจ้าของกิจการได้รับข้อมูลและความช่วยเหลือที่จำเป็น
- มองหาโอกาสใหม่: วิกฤตอาจเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่สามารถปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้ การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ อาจเป็นหนทางในการสร้างการเติบโตในอนาคต
ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2567 เป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม ด้วยการปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง พนักงาน นายจ้าง และเจ้าของกิจการ สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
นอกจากนี้จากภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการปรับตัวและการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต รัฐบาลและภาคธุรกิจต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง