ธุรกิจการตลาด

เปิดเหตุผลทำไมคนเปลี่ยนใจจากรถ EV กลับมาไปรถน้ำมัน

11 ก.ย. 67
เปิดเหตุผลทำไมคนเปลี่ยนใจจากรถ EV กลับมาไปรถน้ำมัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยภาพลักษณ์ของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน ทำให้หลายคนตัดสินใจเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) มาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

โดยข้อมูลล่าสุดกลับเผยให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าสนใจ ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่เคยเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า กำลังพิจารณาที่จะกลับไปใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอีกครั้ง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร และสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใดบ้างในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจปัจจัยต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้ และวิเคราะห์ถึงอนาคตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้

เปิดเหตุผลทำไมคนเปลี่ยนใจจากรถ EV กลับมาไปรถน้ำมัน

เปิดเหตุผลทำไมคนเปลี่ยนใจจากรถ EV กลับมาไปรถน้ำมัน

แม้ว่าในช่วงแรกจะมีผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสนใจและเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ผลสำรวจล่าสุดจาก McKinsey ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคทั่วโลกเกือบ 30% ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพิจารณาที่จะกลับไปใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า

สถานการณ์ในสหรัฐอเมริกาน่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ โดยมีเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าถึง 46% ที่ระบุว่าพวกเขาอาจเปลี่ยนกลับไปใช้รถยนต์สันดาปภายใน ตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในระยะยาว

แม้ว่ารายงานผลประกอบการล่าสุดจาก GM และ Ford จะบ่งชี้ถึงการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า แต่การเติบโตนี้ยังอยู่ในระดับที่จำกัด อีกทั้งทั้งสองบริษัทได้ส่งสัญญาณถึงการปรับลดเป้าหมายการผลิตและการเติบโตในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความไม่แน่นอนในตลาด

Tesla ซึ่งเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ก็ประสบปัญหาเช่นกัน โดยยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องจนต้องหันมาใช้กลยุทธ์การลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย จากข้อมูลเหล่านี้ แม้ว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะมีสัญญาณบวกในบางด้าน แต่ก็ยังคงมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ ผู้ผลิตและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว

ความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ปัจจัยท้าทายและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ผลสำรวจจาก Gallup ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังแสดงความสนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงจาก 43% ในปี 2023 มาอยู่ที่ 35% ในปี 2024 ขณะเดียวกัน สัดส่วนของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่ไม่มีความตั้งใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 41% เป็น 48% ในช่วงเวลาเดียวกัน นี่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความท้าทายที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญในตลาดสหรัฐฯ

แม้ว่า Mary Barra ซีอีโอของ GM จะแสดงความเชื่อมั่นว่าประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถโน้มน้าวใจผู้ขับขี่ได้มากขึ้น แต่ข้อมูลจาก Edmunds กลับสะท้อนถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ โดยพบว่าในไตรมาสที่ 2 มีรถยนต์ไฟฟ้าถึง 39.4% ที่ถูกนำมาแลกซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์สันดาปภายในคันใหม่ นี่เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังคงมีความลังเลใจต่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

Ivan Drury ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลเชิงลึกของ Edmunds กล่าวว่า "เมื่อผู้บริโภคเกิดความไม่พึงพอใจต่อรถยนต์ไฟฟ้า การโน้มน้าวให้พวกเขากลับมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก" ปัญหาต่างๆ เช่น ข้อจำกัดในการชาร์จไฟ ระยะทางการขับขี่ที่จำกัด หรือปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่ อาจสร้างประสบการณ์เชิงลบให้กับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ในอนาคต

สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งการลดราคา การเสนอโปรโมชั่นต่างๆ รวมถึงการนำเสนอเงื่อนไขการเช่าซื้อที่น่าสนใจ นอกจากนี้ มูลค่าของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแตกต่างจากก่อนปี 2024 ที่รถยนต์ไฟฟ้ามือสองมักขายได้ในราคาที่สูงกว่า

ข้อมูลและแนวโน้มเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต้องเผชิญในตลาดสหรัฐอเมริกา การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ความท้าทายและโอกาสในการเติบโต

แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อดีหลายประการ แต่ปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาที่มีความเหลื่อมล้ำในการกระจายตัวของสถานีชาร์จไฟฟ้า ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า 60% ของผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองสามารถเข้าถึงสถานีชาร์จสาธารณะได้ภายในระยะทางไม่เกิน 1 ไมล์ ในขณะที่สัดส่วนนี้ลดลงเหลือเพียง 41% ในเขตชานเมือง และ 17% ในเขตชนบท แม้แต่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตเร็วที่สุด ก็ยังมีสถานีชาร์จสาธารณะเพียง 1 แห่งต่อรถยนต์ไฟฟ้า 29 คัน ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน

  • ผลสำรวจจาก McKinsey ระบุว่า 35% ของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์สันดาปภายในในครั้งต่อไป ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอ ขณะที่ 21% กังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงสถานีชาร์จ Ivan Drury จาก Edmunds กล่าวว่า "ความกังวลในโลกแห่งความเป็นจริงที่ผู้บริโภคแสดงออกผ่านการสำรวจต่างๆ กำลังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นทั้งในอัตราการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ชะลอตัวลง และแนวโน้มที่ว่าไม่ใช่ทุกคนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันต่อไป"
  • Drury ยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นพาหนะหลักมักแสดงความไม่พึงพอใจมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์สันดาปภายใน ในขณะที่ผู้ขับขี่ที่มีรายได้สูงและมีที่จอดรถพร้อมระบบชาร์จไฟฟ้าส่วนตัวมักจะมีความพึงพอใจกับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า และมีแนวโน้มที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันต่อไป
  • Karl Brauer นักวิเคราะห์จาก iSeeCars กล่าวว่า "สำหรับผู้ที่มีฐานะดี มีบ้านพร้อมที่จอดรถและระบบชาร์จไฟฟ้าส่วนตัว และส่วนใหญ่วิ่งรถไม่เกิน 100 ไมล์ต่อวัน การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่สะดวกสบายมาก เพราะพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟ" เขายังเสริมว่า ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าระดับหรูมักมองหารถยนต์ที่สะท้อนถึงสถานะทางสังคมมากกว่า
  • Brauer เชื่อว่าเมื่อเทคโนโลยีแบตเตอรี่และโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าพัฒนาขึ้น และราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลง ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าก็น่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่ายังไม่สามารถประเมินระยะเวลาที่แน่ชัดในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ด้าน Mary Barra ซีอีโอของ GM กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าอาจต้องใช้เวลานานถึง 10 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความท้าทายและความซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ในอุตสาหกรรมยานยนต์

อุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

  • Jim Farley ซีอีโอของ Ford ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการมุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและราคาประหยัด เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร และผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูง แม้ว่าราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจะมีแนวโน้มลดลงในปีนี้ แต่ราคาที่ยังคงสูงก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผลสำรวจจาก McKinsey ระบุว่า 34% ของผู้ที่เคยซื้อรถยนต์ไฟฟ้าระบุว่า "ต้นทุนรวมในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าสูงเกินไป"
  • Karl Brauer นักวิเคราะห์จาก iSeeCars กล่าวว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่สูงกว่ารถยนต์สันดาปภายในเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ นอกจากนี้ ผู้บริโภคบางรายยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสะดวกสบายและความพร้อมในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การเข้าถึงสถานีชาร์จ และข้อจำกัดในการเดินทางระยะไกล ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นว่ารถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ Ivan Drury จาก Edmunds กล่าวว่า "เราทราบดีว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ว่าในปัจจุบันจะมีความกังวลอยู่บ้าง"
  • Drury เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องการชาร์จไฟทั้งที่บ้านและบนท้องถนนคือกุญแจสำคัญในการเอาชนะความท้าทายและส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หากสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ผู้บริโภคก็แทบจะไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นอกเหนือจากเหตุผลส่วนบุคคล เช่น ความชอบในแบรนด์หรือรุ่นรถยนต์ tertentu ซึ่งเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในอนาคต แม้ว่าเส้นทางสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงมีความท้าทาย แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้ายังคงสดใส

ทำไมคนเปลี่ยนจากรถ EV กลับมาใช้รถน้ำมัน

จากข้อมูลและแนวโน้มที่นำเสนอ เราสามารถสรุปปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนตัดสินใจเปลี่ยนจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลับมาใช้รถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ได้ดังนี้

1. โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าที่ยังไม่เพียงพอ

  • การเข้าถึงสถานีชาร์จสาธารณะยังคงเป็นปัญหา โดยเฉพาะในเขตชานเมืองและชนบท ทำให้ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับความสะดวกในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในพื้นที่ที่มีสถานีชาร์จจำนวนมาก ก็ยังมีปัญหาเรื่องความหนาแน่นของรถยนต์ไฟฟ้าต่อสถานีชาร์จ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการรอคิวชาร์จ ผู้บริโภคที่ไม่มีที่จอดรถส่วนตัวพร้อมระบบชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน จะประสบปัญหาในการชาร์จไฟฟ้ามากกว่าผู้ที่มีที่จอดรถส่วนตัว

2. ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงสูง

  • แม้ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าจะมีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังคงสูงกว่ารถยนต์สันดาปภายในในรุ่นและขนาดที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะแบตเตอรี่ ยังคงสูง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องตั้งราคาขายที่สูงเพื่อให้ได้ผลกำไรที่เหมาะสม

3. ความกังวลเกี่ยวกับระยะทางการขับขี่และความสะดวกสบาย

  • แม้ว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งของรถยนต์ไฟฟ้ายังคงน้อยกว่ารถยนต์สันดาปภายใน ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ที่เดินทางไกลบ่อยครั้ง เวลาในการชาร์จไฟฟ้ายังคงนานกว่าการเติมน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเดินทาง

4. ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ตรงตามความคาดหวัง

  • ผู้บริโภคบางรายอาจพบปัญหาในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่ หรือประสิทธิภาพที่ลดลงในสภาพอากาศหนาวเย็น ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่พึงพอใจและตัดสินใจกลับไปใช้รถยนต์สันดาปภายใน

5. ความไม่มั่นใจในเทคโนโลยีใหม่

  • ผู้บริโภคบางรายอาจยังไม่มั่นใจในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า และกังวลเกี่ยวกับความทนทาน อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ และค่าบำรุงรักษาในระยะยาว

การเปลี่ยนจากรถยนต์ไฟฟ้ากลับไปใช้รถยนต์สันดาปภายในสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเผชิญ เพื่อให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้า พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาถูกลงและมีระยะทางการขับขี่ที่ไกลขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับเทคโนโลยีและประสบการณ์การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า

แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่รถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการลดมลพิษและสร้างความยั่งยืนให้กับโลก หากสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาได้ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าก็มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต

ที่มา cnbc

 

advertisement

SPOTLIGHT