รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งที่คนไทยให้ความสนใจในช่วงปีที่ผ่านมาอย่างมาก หลังราคาน้ำมันแพง และนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้ EV มากขึ้น จนทำให้กรมการขนส่งทางบกคาดการณ์ว่า จะมีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 132,843 คัน ภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้น 330% นับจากปี 2564หรือเพียงแค่ 2 ปีกว่าเท่านั้นเอง ขณะที่ยอดจองรถ EV ในงาน Motor Show 2023 รวมทั้งสิ้น 9,234 คัน ซึ่งคิดเป็น 21.5% ของจำนวนยอดจองรถทั้งหมดของงาน นั่นแปลว่า ในปี 2666 นี้กำลังจะมีรถ EV ออกมาวิ่งบนถนนอีกเพียบแน่นอน
ประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงกันมากในกลุ่มคนใช้รถ EV หรือ คนที่สนใจอยากซื้อรถ EV นั่นก็คือเบี้ยประกันรถEVที่แสนแพง กับราคาแบตเตอรี่ในรถEV ที่แพงมหาโหด ซึ่งวันนี้ SPOTLIGHT ได้พูดคุยกับ Priceza Money เว็บไซต์เปรียบเทียบประกันรถยนต์ และ insurance content creator บอกข่าวดีกับเราว่าเบี้ยประกันรถEV กำลังจะถูกลง และมีผลิตภัณฑ์ออกมาให้เลือกมากขึ้น โดยคาดว่า อีก 2 ปี หรือ ปี 2025 เบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าอาจมีราคาเทียบเท่ากับเบี้ยประกันรถสันดาปได้
เปรียบเทียบเบี้ยประกันรถ EV แต่ละรุ่น จากปี 2022 - 2025
Priceza Money อ้างอิงจากบริษัทวิริยะประกันภัย หนึ่งในบริษัทที่จำหน่ายประกันสำหรับรถ EV โดยยกตัวอย่างเบี้ยประกันของ BYD ATTO 3 ดังนี้
ในปี 2022 : ราคาเบี้ยประกันเปิดตัวอยู่ที่ 42,000 บาท
ในปี 2023 : ราคาเบี้ยประกันอยู่ที่ 34,900 บาท เนื่องจากวิริยะประกันภัยได้เซ็น MOU กับบริษัท BYD เลยทำให้มีข้อมูลมากขึ้นในการคำนวณค่าซ่อมอะไหล่ เบี้ยประกันจึงถูกลง
ในปี 2024 : คาดการณ์ราคาเบี้ยประกันอยู่ที่ 28,618 บาท เนื่องจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยนการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าจากรัฐบาลไทย ในการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ
ในปี 2025 : คาดการณ์ราคาเบี้ยประกันอยู่ที่ 23,000-24,000 บาท ซึ่งเป็นราคาเทียบเท่าประกันรถยนต์น้ำมันมากที่สุด สาเหตุเพราะ การตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศไทย จะทำให้อะไหล่ของรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาที่ถูกลง รวมถึงมีบุคคลากรที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการซ่อมมากขึ้น
นอกจากนี้ในอนาคต ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอาจเห็นรูปแบบประกันที่เปลี่ยนไป เช่น การออกแบบประกันตามผู้ขับขี่มากขึ้น (Personalize) ซึ่งปัจจุบันมีการทดลองใช้ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ด้วยระบบรถที่สามารถเก็บข้อมูลการขับขี่ของแต่ละคน และมีการปรับราคาเบี้ยประกันทั้งขึ้น-ลง เดือนต่อเดือน จากการขับขี่ของผู้ขับอย่าง Tesla Insurance เป็นต้น
ในประเทศไทย บริษัท วิริยะประกันภัย ได้เริ่มนำแนวคิด การประกันแบบ Personalize มาปรับใช้ หากผู้ขับ ขับรถดีและไม่เกิดอุบัติเหตุ ทางบริษัทจะคืนเงินให้ถึง 30%
4 เหตุผลที่ทำให้เบี้ยประกันรถ EV ราคาสูง
1.จำนวนรถยนต์ EV ในไทยมีน้อย
จากสถิติยอดจดทะเบียนสะสม ในวันที่ 31 ม.ค. 2566 รถยนต์น้ำมันมีผู้ใช้งานกว่า 42 ล้านคัน ส่วนกลุ่มรถไฟฟ้ามีเพียงแค่ 3 แสนคัน ทำให้หลายบริษัทประกันภัย ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ ที่จะสามารถประเมินราคาประกันภัยได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เลยทำให้ต้องตั้งราคาสูงกว่ารถน้ำมัน เพื่อพร้อมรับในความเสี่ยงที่อาจตามมาได้
2.ค่าแรงและค่าซ่อมบำรุงสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป
การซ่อมรถ EV นั้นจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี ไม่ได้ซ่อมกับช่างรถยนต์แบบสันดาปทั่วไปได้ ทำให้ผู้ใช้งานรถ EV ต้องซ่อมรถยนต์ผ่านศูนย์หลักของผู้ให้บริการเท่านั้น แน่นอนว่า ราคาค่าซ่อม ค่าช่าง จึงแพงกว่าการซ่อมอู่นอกแบบรถสันดาป
3.ความรู้ ความสามารถ ความพร้อมในกาซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการถ่ายโอนความรู้การซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าเท่าที่ควร เลยทำให้หลายอู่เน้นการเปลี่ยนอะไหล่มากกว่าการซ่อมบำรุง เช่น กรณีแบตเตอรี่รอยถลอกของรถ Ora Good Cat และ BYD Atto 3 ที่เป็นข่าวต้องเปลี่ยนแบต ทำให้ราคาโดยรวมพุ่งไปที่ราคาหลักแสน-ล้านบาทได้ทีเดียว
4.จำนวนอะไหล่ที่น้อยลงในรถยนต์
ชิ้นส่วนภายในของรถยนต์น้ำมันมีอะไหล่มากกว่าร้อยชิ้น หากเสียตรงไหนก็สามารถเปลี่ยนหรือซ่อมอะไหล่ได้เลย แต่ในขณะที่ชิ้นส่วนรถยนต์EV มีเพียงแค่ 6-7 ชิ้น ทำให้มีมูลค่าราคาสูงกว่า หากได้รับความเสียหายหรือเกิดอุบัติเหตุ เช่น ราคาแบตเตอรี่เป็นชิ้นส่วนที่แพงที่สุดสำหรับรถ EV
สาวก EV ทั้งหลายได้ข้อมูลนี้แล้ว ก็น่าจะรู้สึกมั่นใจหรือเบาใจมากขึ้น เพราะเชื่อว่า ในช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีใหม่ มีหลายภาคส่วนต้องปรับตัวให้ทัน เชื่อว่าอีก 2 ปีจากนี้อุตสาหกรรมรถ EV ในประเทศไทยมีความคึกคักขึ้นอย่างแน่นอน