โดยนายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า ในปีนี้ กำไรจะยังทำ New high ต่อจากปีก่อนที่มีกำไรจากการดำเนินงานเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ที่ 7,700 ล้านบาท จากปัจจัยเรื่องของฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร หลังผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
นายดิลลิป กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ผมมีความยินดีที่จะรายงานผลประกอบการที่ดีเยี่ยมของเราสำหรับปี 2566 รายงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทและการทำงานอย่างเต็มที่ของทีมเราทุกคนใน 63 ประเทศ สำหรับก้าวต่อไปเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การขยายอาณาจักร ส่งเสริมการเติบโตแบบยั่งยืน และการลดหนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียกับบริษัทในระยะยาว”
ทั้งนี้ MINT วางงบลงทุนรวมในปี 67 ไว้ที่ 10,000-13,000 ล้านบาท โดยที่จะใช้กับธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก เป็นขยายและปรับปรุงโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรปที่จะ Up scale เป็นจำนวนมาก
ส่วนธุรกิจร้านอาหารยังคงมีการขยายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในต่างประเทศ แบรนด์ Sizzler, The Coffee Club, The Pizza Company ในเวียดนามและสิงคโปร์
ภาพรวมของปี 67 สิ่งที่ MINT ยังคงให้ความสำคัญ คือ การเพิ่มจำนวนยอดใช้จ่ายต่อหัวของลูกค้า (Spending) เพื่อเพิ่มความสามารถการสร้างรายได้และการทำกำไร ด้วยการทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งในโรงแรมและร้านอาหาร เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจในกลุ่ม
โดยการท่องเที่ยวจะเห็นความคึกคักทั้งในไทยที่ประเมินจำนวนนักท่องเทื่ยวมากกว่า 35 ล้านคน จากปีก่อน 20 กว่าล้านคน และนักท่องเที่ยวในยุโรปก็น่าจะเพิ่มขึ้น
แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปี 67 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากรายได้ห้องพักในเดือน ม.ค.67 รวมทั้งยอดจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนก.พ.และมี.ค. 67 ในไทยสูงกว่าปีก่อน 39% มาจากฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย และได้แรงหนุนจากเทศกาลตรุษจีน
ขณะที่รายได้ห้องพักโรงแรมในยุโรปเพิ่มขึ้น 20% เนื่องจากต้นปีอากาศในยุโรปไม่ได้หนาวมากและขณะนี้อุ่นขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวคึกคัก คาดว่าจะเห็นการเติบโตที่สูงขึ้นต่อเนื่องในช่วง Summer ซึ่งเป็น High Season ของยุโรป
สำหรับธุรกิจโรงแรม เน้นการใช้กลยุทธ์ การ Repositioning และ Rebranding ตามแผนงาน เพื่อทำให้ MINT มีสัดส่วนของ Asset light มากขึ้น
โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรปที่จะมีการยกระดับแบรนด์ให้สูงขึ้น ซึ่งในปี 66 ได้ Repositioning และ Rebranding โรงแรมไปแล้ว 50 แห่ง และปี 67 จะมีอีก 28-30 แห่ง ใช้เงินลงทุนราว 50-60 ล้านยูโร
ทั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวันของโรงแรมให้เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้สัดส่วนของ Asset light เพิ่มขึ้นเป็น 40% ใน 3 ปีตามเป้าหมาย จากปัจจุบันอยู่ที่ 18%
เป้าหมาย 3 ปี ข้างหน้าของ MINT ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไร แต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้
โดยตั้งเป้าลดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ให้เหลือ 4.3 เท่าภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่ 6 เท่า
บริษัทยังคงเดินหน้าไนการลดหนี้ต่อเนื่องเพื่อทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ช่วยหนุนกำไรของบริษัท โดยในสิ้นปี 67 จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลงมาที่ 0.8 เท่า จากปี 66 ที่ 1 เท่า ซึ่งจะลดหนี้ให้เหลือ 9 หมื่นล้านบาท จาก 1 แสนล้านบาท รวมถึงจะมีการขายสินทรัพย์บางรายการและเช่ากลับมา ซึ่งจะทำให้หนี้สินลดลง และหนุนต่อมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น
MINT ตั้งเป้าหมาย 3 ปี (ปี 67-69) ลงทุน 30,000 ล้านบาท โดยคาดรายได้เติบโตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี และจะเพิ่มกำไรเฉลี่ย 15-20% ต่อปี โดยที่จะต้องสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่ต่ำกว่า 10%
โดย 3 ปีข้างหน้านี้ MINT ตั้งเป้าขยายกลุ่มธุรกิจโดยเพิ่มโรงแรมใหม่ 200 – 500 แห่ง และร้านอาหาร 1,000 สาขา โดยมียอดรวมจำนวนโรงแรมอยู่ที่ 780 แห่ง และ ร้านอาหารอยู่ที่ 3,700 สาขา ความมุ่งมั่นนี้ได้รับการสนับสนุนจากโอกาสการเติบโตที่มากมายและการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ด้านการใช้รูปแบบธุรกิจ Asset-light model การทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม และการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมไปกับการใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุด และการมุ่งเน้นในตลาดที่มีการเติบโตสูงนอกเหนือจากตลาดอื่น
ที่ผ่านมา MINT เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อการขยายธุรกิจสู่เวทีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่สำคัญระดับนานาชาติ อาทิ
การเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่งในกรุงปารีสภายใต้เอ็น เอช และเอ็นเอช คอลเลคชั่น การเปิดตัวโรงแรมหรูภายใต้อนันตราในกรุงเวียนนา และการเปิดตัวของเอ็นเอช คอลเลคชั่นในเฮลซิงกิ
นอกจากนี้ แผนการขยายโรงแรมที่แข็งแกร่งของ MINT ยังรวมการเปิดตัวของอนันตราและอวานีในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ควบคู่ไปกับการเปิดโรงแรมใหม่ในตลาดตะวันออกกลางที่ MINT มีการเติบโตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแผนการเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหารในประเทศจีนหลายแห่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับ ไมเนอร์ ฟู้ดยังเสริมความแข็งแกร่งในอาเซียนด้วยการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ภายใต้ ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยิ่งไปกว่านั้น MINT ได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีนเพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย และเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า
ด้วยแผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน
รวมถึงขยายสาขาใหม่ Dairy Queen ในอินโดนีเซีย เพิ่มเป็น 10 เท่าใน 3 ปี จากปัจจุบัน 12 สาขา รวมถึงการนำแบรนด์ GAGA ไปเปิดในอินโดนีเซีย หนุนการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มศอาเซียน และการปรับปรุงแบรนด์ Swensens ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่มีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งทั้งแบรนด์ Dairy Queen และ Swensens ทำผลงานได้ดีที่สุดในกลุ่มร้านอาหาร
ประกอบกับ การมองหาโอกาสในตลาดใหม่ในอินเดียที่มีจำนวนประชากรเยอะและมีศักยภาพในการเติบโต
แนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 1/67 ยังมี Momentum ที่ดีต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่สามารถทำได้ตามเป้าที่บริษัทวางไว้
สำหรับไตรมาส 2/67 ยังคาดว่าจะยังมี Momentum ที่ดีเช่นกัน เนื่องจากเป็นฤดูร้อนของไทย และมีเทศกาลที่สำคัญ โดยเฉพาะสงกรานต์ หนุนธุรกิจโรงแรมก่อนเข้า Low season
ส่วนธุรกิจร้านอาหารยังสามารถสร้างยอดขายที่แข็งแกร่งต่อเนื่องจากปลายปี 66 ซึ่งบริษัทยังคงทำแคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดต่อเนื่อง ทำให้ร้านอาหารในเครือ MINT มีรายได้และกำไรดีขึ้น