ท่ามกลางกระแสความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก การเมืองระหว่างประเทศที่ร้อนระอุ และความท้าทายภายในประเทศ "ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค" ถือเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงอุณหภูมิเศรษฐกิจไทย บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมีผลต่อการใช้จ่าย การลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม ล่าสุด ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคม 2567 ได้เผยสัญญาณเชิงบวก โดยดัชนีฯ ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของความเชื่อมั่น ท่ามกลางความท้าทายมากมาย
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกผลสำรวจดังกล่าว วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงประเด็นที่ต้องจับตามอง เพื่อให้เห็นภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี 2567 อย่างชัดเจน
รายงานผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคม 2567 บ่งชี้ถึงการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 การฟื้นตัวในครั้งนี้เกิดจากปัจจัยหลัก 2 ประการ ได้แก่ การคลี่คลายของสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งช่วยลดทอนความกังวลของประชาชน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่เริ่มส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม
แม้สถานการณ์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ผลสำรวจดังกล่าวถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มกลับคืนมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะปรับตัวดีขึ้นในเดือนตุลาคม 2567 แต่ตัวเลขดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงความกังวลของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 49.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมอยู่ที่ 53.5 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 65.1 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากเดือนกันยายนที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 48.8, 52.7 และ 64.4 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีทั้งหมดยังคงต่ำกว่าระดับปกติที่ 100
ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ราคาพลังงานและค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โอกาสในการจ้างงาน และความมั่นคงของรายได้ในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ในเดือนตุลาคม 2567 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จาก 55.3 เป็น 56.0 นับเป็นการขยับตัวในทิศทางบวกครั้งแรกในรอบ 8 เดือน แม้จะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ระดับของดัชนียังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ 100 ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม
จากผลสำรวจ พบว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่แข็งแกร่ง ค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ความกังวลเหล่านี้ อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้การบริโภคภายในประเทศไม่ขยายตัวเท่าที่ควร ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการส่งออก อาจได้รับผลกระทบจากความต้องการสินค้าและบริการที่ลดลง ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อาจทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงานและโอกาสในการหางาน
ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคม 2567 บ่งชี้ถึงสัญญาณเชิงบวก โดยดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 39.0 เป็น 39.6 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 63.1 เป็น 64.0 นับเป็นการพลิกฟื้นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของผู้บริโภคที่เริ่มมีความ optimisitic ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะถัดไป
การปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นในทุกองค์ประกอบ บ่งชี้ว่าภาคประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคาดหวังว่าภาครัฐจะสามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนนโยบาย และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สถานการณ์การเมือง ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีความเชื่อมั่นจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ระดับคะแนนยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย และมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยลบต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้นการรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวของความเชื่อมั่น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน