ครม. อนุมัติหลักการมาตรการ "Easy E-Receipt 2.0" ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท แบ่งเป็น 30,000 บาทสำหรับใช้จ่ายทั่วไป และ 20,000 บาทสำหรับวิสาหกิจชุมชนและสินค้า OTOP โครงการเริ่ม 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 คาดช่วยเศรษฐกิจขยายตัว 2.3-3.3% และสร้างเงินหมุนเวียน 70,000 ล้านบาท พร้อมส่งเสริมระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ลดรายได้ภาษีรัฐ 10,500 ล้านบาท.
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2568 ที่ผ่านครม.เมื่อวานนี้ (24ธ.ค.67) มีมาตรการ "Easy E-Receipt 2.0" ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ให้ประชาชนชอปปิงแล้วใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ด้วย รายละเอียดของ "Easy E-Receipt 2.0” มีอะไรบ้าง SPOTLIGHT สรุปมาให้
วัตถุประสงค์ของมาตรการ Easy E-Receipt 2.0
รายละเอียดและเงื่อนไข Easy E-Receipt 2.0
ผู้ที่ได้สิทธิ์ต้องเป็นผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในราชอาณาจักรจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
ได้สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้:
- สินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคม
- สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท
ประเภทซื้อสินค้า/บริการ ที่ผู้ขายไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนจากค่าซื้อสินค้า/บริการที่ระบุ ได้แก่:
สินค้า/บริการ ที่ไม่เข้าร่วมมาตรการ Easy E-Receipt 2.0
ค่าซื้อสินค้า/บริการต่อไปนี้ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้:
ระยะเวลาดำเนินโครงการ Easy E-Receipt 2.0
มาตรการมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยผู้เสียภาษีต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปในระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt เท่านั้น
ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ มาตรการ Easy E-Receipt 2.0
กรมสรรพากรคาดว่ามาตรการนี้จะมีผู้ใช้สิทธิประมาณ 1.4 ล้านคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 เติบโตในช่วง 2.3%-3.3% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคาดว่าจะสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาราว 10,500 ล้านบาท แต่จะได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและการขยายฐานผู้เสียภาษีในระยะยาว
มาตรการ "Easy E-Receipt 2.0" ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน
ที่มา : ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 24 ธ.ค. 2567