ตัวเลขการส่งออกของไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวได้ 5.1% โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน ขยายตัวได้ดีถึง 8.2% แต่สัญญาณการส่งออกไทยในปี 2025 ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความท้าทายทำให้สำนักวิจัยหลายแห่งปรับประมาณการณ์การขยายตัวของภาคการส่งออกเติบโตลดลง
ในบรรดาเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อน GDP ไทยในสัดส่วนมากที่สุดคือ “ภาคการส่งออก” ที่กินสัดส่วนราว 70 %ต่อGDP ตัวเลขการเติบโตของการส่งออกจึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ซึ่งในปี 2567 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ภาคการส่งออกของไทยยังขยายตัวได้ดี ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่าการค้าระหว่างประเทศของไทยล่าสุดของเดือน พ.ย.2567 พบว่า มูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือนยังโตดี 8.2% ขยายตัว 5 เดือนต่อเนื่อง อยู่ที่ 25,608.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.2% และหากไม่นับรวมทองคำจะยังขยายตัวได้ 6.4% ส่วนภาพรวมมูลค่าการส่งออกไทย 11 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 275,767 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.1%
ขณะที่การนำเข้าเดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่า 25,832.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 0.9% ส่วน 11 เดือนมูลค่าการนำเข้า 282,033.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.7% ทำให้ไทยขาดดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 224.4 ดอลลาร์สหรัฐ และ 11 เดือนขาดดุลการค้า 6,269.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้การส่งออกของไทยยังขยายตัวได้ดีในปี 2567 นี้แต่ภาพรวมไทยยังอยู่ในสถานขาดดุล การค้า ทำให้ต้องประเมินว่า เครื่องยนต์หลักอย่างการส่งออก จะพอเป็นตัวช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2568ได้หรือไม่ SPOTLIGHT รวบรวมบทวิเคราะห์จากทั้ง SCB EIC และ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มาฝากกัน
SCB EIC มองว่า ทั้งปี 2567 การส่งออกไทยมีโอกาสขยายตัวได้เกิน 4% แม้ที่ผ่านมาส่งออกไทยจะเผชิญอุปสรรคตั้งแต่ต้นปีจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงและอุปสรรคการขนส่งทางเรือในโลกหลายที่ แต่ส่งออกไทยกลับได้แรงหนุนจากหลายปัจจัยบวกที่ชัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เช่น เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว Soft landing ได้ การส่งออกทองคำสูงขึ้นมาก อานิสงส์วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และอุปสงค์ต่างประเทศเริ่มเร่งตัวจากความกังวลประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่อาจเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มในปี 2025 ประกอบกับปัจจัยฐานต่ำในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทย 11 เดือนขยายตัวมากถึง 5.2%
แต่ในปี 2025 การส่งออกไทยอาจไม่ง่าย โดยเฉพาะผลกระทบสงครามการค้าจะเริ่มเห็นชัดขึ้นครึ่งหลังปี 2025 ที่มาตรการกีดกันการค้าประเทศต่าง ๆ นอกจากจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ โดยประเมินว่าประเทศไทยเสี่ยงสูงที่จะเจอนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจาก Trump 2.0 เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบผ่านช่องทางการค้าเป็นหลัก สะท้อนจาก
แม้สหรัฐฯ จะขาดดุลการค้ากับไทยมานานต่อเนื่อง แต่การขาดดุลยิ่งสูงขึ้นก้าวกระโดดนับตั้งแต่ปี 2021 โดยมูลค่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯกับไทยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก -2.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2017-2020 (Trump 1.0) เป็น - 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 ซึ่งไทยจัดเป็นประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อันดับ 12 จาก 99 ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ในปี 2023
จากผลศึกษาของ Information Technology and Innovation Foundation (ITIF) พบว่าประเทศไทยมีคะแนน Trump Risk Index ติดอันดับ 2 ของโลก รองจากเม็กซิโก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชียจาก 38 ประเทศพันธมิตรทั้งหมดของสหรัฐฯ สอดคล้องกับผลศึกษา Unfair Trade ของ Global Trade Alert (Nov 2024) ที่พบว่า ประเทศไทยจะติด 3 ใน 5 เกณฑ์ หากพิจารณาเกณฑ์เดียวกับที่ Trump 1.0 เคยใช้มาก่อน โดยไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ที่จะติดเกณฑ์นี้
SCB EIC ประเมินว่ากว่า 70% ของสินค้าส่งออกหลักของไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้ากับโลก และต้องการส่งเสริม Local supply chain อาทิ สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์
สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย (17% ของมูลค่าส่งออกไทยทั้งหมด) และไทยยังสร้างมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ค่อนข้างสูง (รูปที่ 5 ซ้าย) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกไทยโดยตรง จากนโยบายภาษีสินค้านำเข้า Trump 2.0
ความต้องการสินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าขั้นปลายที่จีนส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และปัญหาจีนผลิตล้นตลาด (China’s overcapacity) มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน จะกดดันความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย ทั้งตลาดในและนอกประเทศ ส่งผลให้การส่งออกไทยเริ่มชะลอตัว ซ้ำเติมภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัว
SCB EIC ประเมินว่ามูลค่าส่งออกสินค้าไทยจะขยายตัวได้ราว 2% ในปี 2568 ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเทียบการเติบโตของการส่งออกในปี 2567 ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภาครัฐจำเป็นต้องเตรียมแนวทางเจรจา/ต่อรองกับสหรัฐฯ เพื่อหาวิธีลดความเสี่ยงต่อนโยบายภาษีนำเข้า Trump 2.0 ในช่วงปี 2568
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดปี 2568 ส่งออกไทยโตได้ 2.5 %
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิรไทย วิเคราะห์ว่า ในปี 2568 การส่งออกไทยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.5% ชะลอลงจากปีก่อนหน้า
1.สงครามการค้ารอบใหม่ โดยต้นปี 2568 คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งไทยมีความเสี่ยงอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่อาจถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้น เนื่องจากไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ ในระดับสูง และมีการย้ายฐานการผลิตสินค้าจีนมายังไทยเพิ่มขึ้นในช่วงสงครามการค้าครั้งแรก ซึ่งการส่งออกไทยคาดว่าจะได้รับผลกระทบ
2.โครงสร้างการส่งออกไทยที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการตลาดโลก โดยการส่งออกไทยมีบทบาทต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยจำเป็นต้องผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดโลกมากขึ้น เช่น SDD เซมิคอนดักเตอร์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น รวมถึงไทยต้องปรับตัวให้ทันตามกฎระเบียบของตลาดโลกที่มีมากขึ้น อาทิ การเตรียมตัวเข้าสู่ระยะบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบในปี 2569
นอกจากนี้ สำหรับในปี 2568 ยังต้องติดตามผลการเจรจาและการลงนามในความตกลงทางการค้า FTA ซึ่งจะช่วยหนุนความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยให้สามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆ ได้มากขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการขอใช้สิทธิ FTA เพิ่มขึ้น 2.11% เทียบกับปีที่แล้ว