เปิดสถิติพบ ยอดขายรถยนต์ของไทยใน 7 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 464,550 คัน ลดลง 5.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายเดือนกรกฎาคมลดลง 8.8% จากการชะลอการตัดสินใจซื้อของภาคธุรกิจจากสภาวะเศรษฐกิจ และการที่ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้นจากความกังวลเรื่องหนี้เสีย
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนกรกฏาคม 2566 ด้วยยอดขาย 58,419 คัน ลดลง 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการที่ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวต่อเนื่องด้วยยอดขาย 35,908 คัน ลดลง 19.9% โดยเฉพาะส่วนของรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่พบยอดขายลดลงถึง 26.6% เหลือเพียง 24,982 คัน
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่าตลาดรถยนต์นั่งยังคงเพิ่มขึ้นด้วยยอดขาย 25,511 คัน เติบโต 17.3% สะท้อนว่าผู้ซื้อรถยนต์สำหรับโดยสารส่วนตัวยังมีกำลังซื้อในระดับดีอยู่ ในขณะที่ผู้ซื้อรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีกำลังซื้อลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของธุรกิจขนส่ง โดยมีปัจจัยลบที่สำคัญอย่างยิ่งคือความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ที่มีความกังวลต่อหนี้เสียอันเป็นผลต่อเนื่องที่เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
ครึ่งปีหลังมีหวังยอดขึ้น รัฐบาลใหม่เพิ่มความเชื่อมั่น
จากการคาดการณ์ของโตโยต้า ตลาดรถยนต์ในเดือนสิงหาคม มีความหวังที่จะฟื้นตัวขึ้น จากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิทยาการบริโภคในการใช้เงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดรถยนต์ด้วยเช่นกัน
โดยนอกจากเสถียรภาพทางการเมืองแล้ว อีกปัจจัยเสริมที่สำคัญ ได้แก่ แคมเปญการตลาดในช่วงงาน Bangkok International Grand Motor Sale 2023 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม - 3 กันยายน นี้ ที่นอกจากจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ภายในงานแล้ว ยังขยายข้อเสนอพิเศษไปยังโชว์รูมผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ นับเป็นโอกาสดีที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี โตโยต้ามองว่าในครึ่งปีหลังตลาดรถยนต์ก็ยังมีปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่ ความผันผวนทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลต่อภาวะหนี้สินครัวเรือน ตลอดจนความเข้มงวดของสถาบันการเงินต่อการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะคงตัวไปซักพักเพราะภาวะหนี้ครัวเรือนยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น
โตโยต้าครองตลาดรถยนต์นั่ง-เพื่อการพาณิชย์ อีซูซุครองกระบะ
จากสถิติปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2566 พบว่า โตโยต้ายังคงทำยอดขายได้เป็นอันดับหนึ่งในไทย ด้วยยอดขาย 157,280 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 33.9% ตามมาด้วยอีซูซุ ด้วยยอดขาย 98,016 คัน และ ฮอนด้า ด้วยยอดขาย 53,685 คัน
ยอดขายของรถแต่ละประเภทสามารถแยกได้ดังนี้
1. รถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 170,598 คัน เพิ่มขึ้น 10.0%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 59,089 คัน เพิ่มขึ้น 34.3% ส่วนแบ่งตลาด 34.6%
อันดับที่ 2 ฮอนด้า 35,347 คัน เพิ่มขึ้น 3.3% ส่วนแบ่งตลาด 20.7%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 10,664 คัน ลดลง 17.8% ส่วนแบ่งตลาด 6.3%
2. รถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 293,952 คัน ลดลง 12.6%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 98,191 คัน ลดลง 17.0% ส่วนแบ่งตลาด 33.4%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 98,016 คัน ลดลง 22.3% ส่วนแบ่งตลาด 33.3%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 22,871 คัน เพิ่มขึ้น 23.6% ส่วนแบ่งตลาด 7.8%
3. รถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 207,934 คัน ลดลง 20.6%
อันดับที่ 1 อีซูซุ 88,861 คัน ลดลง 23.6% ส่วนแบ่งตลาด 42.7%
อันดับที่ 2 โตโยต้า 80,632 คัน ลดลง 20.9% ส่วนแบ่งตลาด 38.8%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 22,871 คัน เพิ่มขึ้น 23.6% ส่วนแบ่งตลาด 11.0%
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 37,940 คัน
โตโยต้า 13,538 คัน - อีซูซุ 13,630 คัน – ฟอร์ด 7,204 คัน – มิตซูบิชิ 2,806 คัน – นิสสัน 762 คัน
4. รถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 169,994 คัน ลดลง 25.5%
อันดับที่ 1 อีซูซุ 75,231 คัน ลดลง 28.8% ส่วนแบ่งตลาด 44.3%
อันดับที่ 2 โตโยต้า 67,094 คัน ลดลง 23.0% ส่วนแบ่งตลาด 39.5%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 15,667 คัน เพิ่มขึ้น 0.7% ส่วนแบ่งตลาด 9.2%