Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ซื้อหนี้จากประชาชน ตามแนวคิด ‘ ทักษิณ’ ทำได้หรือไม่? ดีไม่ดีอย่างไร?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ซื้อหนี้จากประชาชน ตามแนวคิด ‘ ทักษิณ’ ทำได้หรือไม่? ดีไม่ดีอย่างไร?

20 มี.ค. 68
17:42 น.
|
527
แชร์

เป็นประเด็นให้ถกเถียง หลังวันที่ 17 มีนาคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนของประชาชน ด้วยวิธี “ซื้อหนี้ประชาชน” ออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อหวังให้ประชาชนสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ 

ฟังเพียงเท่านี้อาจจะทำให้ตั้งคำถามว่า วิธีการจะทำอย่างไร ? และมีผลดีผลเสียที่จะเกิดกับระบบเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง?

SPOTLIGHT รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อหนี้ประชาชนที่เป็นไอเดียของคุณทักษิณ ซึ่งพบว่ามีทั้งมุมประสงค์ดีและมุมที่อาจสร้างผลกระทบให้กับเศรษฐกิจได้เช่นกัน

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจแนวคิด “การซื้อหนี้ประชาชน” ตามแนวคิดของคุณทักษิณกันก่อน

1.เสนอการตั้งหน่วยงานเพื่อซื้อหนี้เสีย - แนวคิดนี้ใช้แนวทางตั้งบริษัทมาซื้อหนี้เสียออกจากธนาคารพาณิชย์ หรือ AMC - Asset Management Company โดยไม่ได้ใช้เงินจากรัฐบาล 

2.การปรับโครงสร้างหนี้ให้กับประชาชน - เมื่อซื้อหนี้มาแล้วจะเท่ากับได้ทำการลดภาระหนี้ของประชาชน โดยอาจเสนอทางเลือก เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ให้ประชาชนสามารถผ่อนชำระไหว แนวทางนี้จะช่วยให้ลูกหนี้ที่มีประวัติค้างชำระสามารถกลับมามีเครดิตดีอีกครั้ง

3.การปลดล็อกเครดิตบูโร - คุณทักษิณ เสนอให้ปลดล็อคสถานะในเครดิตบูโรได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบสถาบันการเงินได้ 

เป้าหมายของแนวคิดคุณทักษิณ น่าจะต้องการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลออยู่ในขณะนี้ เพราะส่วนหนึ่งมาจากปัญหาหนี้สินของประชาชน การขาดสภาพคล่อง ทำให้ยิ่งไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ได้ เห็นได้จากยอดการปฏิเสธสินเชื่อทั้งบ้าน ทั้งรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะธนาคารพาณิชย์เองก็มีความระมัดระวังหนี้เสียที่สูงขึ้นเช่นกัน การขยายตัวของสินเชื่อจึงแทบไม่โต วงจรนี้จึงส่งผลให้เศรษฐกิจไม่กระเตื้อง ดังนั้นหากมีการใช้วิธีซื้อหนี้ประชาชน น่าจะทำให้แบงก์กล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้นและส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ธนาคารพาณิชย์เองสามารถลดภาระหนี้เสีย และปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเตือนว่าแนวคิดนี้ต้องออกแบบมาตรการให้รัดกุม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบธนาคาร และทำให้เกิดปัญหาความเสี่ยงเชิงศีลธรรม (Moral Hazard) คือทำให้ประชาชนไม่ระมัดระวังเรื่องหนี้สิน เพราะคาดหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือในอนาคต

ธปท.ชี้แก้หนี้ต้องเข้าใจผลข้างเคียงรอบด้าน 

ความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อประเด็นการซื้อหนี้ประชาชนนั้น ระบุว่า ขณะนี้ยังต้องรอความชัดเจนของรูปแบบประเภทหนี้ที่จะเข้าข่าย และรายละเอียดต่าง ๆ ก่อน ซึ่งที่ผ่านมาในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ธปท. คำนึงถึงหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 

1.ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิดจนทำให้เกิดปัญหา moral hazard กล่าวคือ ต้องมีกลไกส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัยและมีความรับผิดชอบทางการเงิน ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการเป็นหนี้ซ้ำซ้อนในอนาคต 

2.สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า กล่าวคือ ความช่วยเหลือที่ให้ต้องไม่ไปลดทอนความแม่นยำในการประเมินความเสี่ยงของเจ้าหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ด้วยต้นทุนที่เป็นธรรม 

3.ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรและงบประมาณของประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

แบงก์ชาติระบุด้วยว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยมีความซับซ้อนจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายในการช่วยกันแก้ไขปัญหา การออกแบบมาตรการจึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างครบวงจร โดยคำนึงถึงสาเหตุของปัญหา หลักการของการทำมาตรการ และผลข้างเคียงอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดผลสูงสุดแก่ทั้งลูกหนี้และระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

การซื้อหนี้ประชาชนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ต้องทำให้รอบคอบ 

แนวทางการ “ซื้อหนี้ประชาชน” อาจไม่ใช่เรื่องใหม่นัก หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2540 ประเทศไทยของเราก็เคยมีการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ AMC มาแล้ว 

ในยุคต้มยำกุ้งที่มีการจัดตั้ง AMC และ TAMC ตอนนั้นประเทศมีหนี้เสียสูงถึง 52.3% ของสินเชื่อรวมในเดือนพฤษภาคม 2542 หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท ถือว่าเกินกว่ากำลังของระบบสถาบันการเงินจะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงทำให้เกิดการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ของภาคเอกชนและภาครัฐตามมาตั้งแต่ปี 2540-2541 จนมีจำนวนกว่า 10 แห่ง เพื่อซื้อหนี้จากธนาคารแม่แยกออกไปบริหารจัดการเฉพาะ

และต่อมาจึงมีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) หรือ TAMC ในปี 2544 เพื่อซื้อหนี้ก้อนใหญ่ในช่วงปลายวิกฤตดังกล่าว ประมาณ 7.8 แสนล้านบาท จากสถาบันการเงินไปบริหารเพื่อฟื้นฟูและ/หรือปิดจบหนี้

แต่สถานการณ์หนี้ของปี 2540 กับปัจจุบัน ปี 2568 มีความแตกต่างกัน นี่จึงเป็นที่มาให้หลายความเห็นเป็นห่วงวิธีการแก้หนี้ตามไอเดียของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า 

ในช่วงวิกฤตปี 2540 การจัดตั้ง AMC จะเน้นซื้อหนี้ทั้งธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตจากอานิสงส์ของเงินบาทอ่อนค่าที่ส่งผลดีต่อ FDI และการส่งออก ได้ช่วยให้ธุรกิจและครัวเรือนเห็นภาพรายได้ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ในระยะเวลาดังกล่าว ยังเป็นช่วงแรกๆ ของตลาดการบริหารหนี้ และมีการแก้กฎหมาย มีการจัดตั้งศาลล้มละลายกลาง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้มีองค์ประกอบหลายด้านที่สนับสนุนการแก้ไขหนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

แต่ปัญหาในรอบนี้ (2568) แตกต่างออกไป นั่นคือ หนี้ NPL ทั้งธุรกิจและรายย่อยจำนวนไม่น้อยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และมาตรการช่วยเหลือจากทั้งธนาคารพาณิชย์และทางการ สถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงทำให้ปัจจัยด้านรายได้ของธุรกิจและครัวเรือนไม่ชัดเจน ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสำเร็จในการแก้ไขหนี้ 

นอกจากนี้ ตลาดการบริหารหนี้ก็มีความท้าทายมากขึ้นจากการที่หนี้ที่ไหลเข้ามาในระยะหลัง แก้ยากขึ้น อีกทั้งการระบายทรัพย์สู่ตลาดตามกระบวนการทางกฎหมาย ก็น่าจะใช้เวลาเช่นกัน ท่ามกลางผู้ซื้อและอำนาจซื้อที่จำกัด ดังนั้น แนวคิดในการจัดตั้ง AMC ในรอบนี้ จึงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปข้างต้นด้วย เพื่อออกแบบรูปแบบธุรกิจและกลไกการจัดการให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น เป้าหมายการแก้หนี้ที่เน้นหนี้รายย่อยจะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการหนี้สูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากจำนวนบัญชีรายย่อยที่เครดิตบูโร มีจำนวนกว่า 9 ล้านบัญชี ซึ่งยังไม่ครอบคลุมถึงหนี้เสียของสหกรณ์ นอนแบงก์ในธุรกิจลิสซิ่ง หรือนอนแบงก์ที่ไม่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร

ปัญหา Moral Hazard ของลูกหนี้ โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า การขายหนี้ให้ AMC บริหาร ลูกหนี้มีโอกาสได้รับเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ที่แตกต่างหรือผ่อนปรนกว่าเดิม โดยเฉพาะหาก AMC ซื้อหนี้ดังกล่าวมาในราคาที่ไม่สูง ซึ่งภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอย่างเช่นในปัจจุบัน อาจกระตุ้นให้ลูกหนี้ดีหรือลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหา เลือกปฏิเสธการจ่ายหนี้และกลายเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้น ซึ่งจะกลับมาทำให้เจ้าหนี้ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อระบบการเงินโดยรวม ดังนั้น การตีกรอบเงื่อนไขการรับซื้อหนี้ของลูกหนี้จากสถาบันการเงินให้มีความเหมาะสม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ระบบเครดิตของไทยยังยืนอยู่ได้ในอนาคต

การแก้หนี้ที่ยั่งยืนยังต้องอาศัยการแก้ไขจากฝั่งรายได้ ควบคู่กับการสร้างวินัยและวัฒนธรรมในการใช้จ่ายที่ถูกต้อง จึงจะเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืนที่แท้จริง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สุดท้าย การจัดตั้ง AMC จะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของระบบการเงินไทยในรอบนี้เพียงใด คงขึ้นกับการออกแบบ Business Model และรายละเอียดต่างๆ ที่จะตามมา ทั้งรูปแบบการจัดตั้ง แหล่งเงินทุน ราคาซื้อหนี้ เงื่อนไขส่วนแบ่งผลขาดทุนหรือกำไรจากการบริหารหนี้ ตลอดจน ระยะเวลาของโครงการว่าจะปิดตัวเมื่อบริหารหนี้จากการซื้อตามโครงการที่กำหนดเสร็จสิ้น หรือจะเป็น AMC ที่รับซื้อหนี้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่ดำเนินการอยู่จำนวนมากถึง 87 แห่งในปัจจุบัน เพราะจะมีผลต่อความร่วมมือในการขายหนี้ ผลกระทบต่อลูกหนี้ และเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูงจนน่าเป็นห่วง

คราวนี้มาดูข้อมูลจาก สศช.พบว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 มีมูลค่าอยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หดตัวลง 0.03% จากไตรมาสก่อนหน้านี้ เมื่อคิดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 89.0% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 89.8% ในไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่หนี้เสีย (NPLs) หรือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน มีมูลค่าอยู่ที่  1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% จากไตรมาสก่อน และคิดเป็น 8.78% ของสินเชื่อรวม เพิ่มจาก 8.48% ไตรมาสก่อน

ขณะที่สัดส่วนประเภทสินเชื่อที่มี NPL ต่อสินเชื่อรวมสูงสุด ได้แก่
1.สินเชื่อบัตรเครดิต  NPLs อยู่ที่ 12.58%
2.สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์  NPLs อยู่ที่ 12.25%
3.สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ NPLs อยู่ที่ 10.33%
4.สินเชื่อส่วนบุคคล NPLs อยู่ที่ 10.77%
5.สินเชื่อที่อยู่อาศัย  NPLs อยู่ที่ 4.58%

อย่างไรก็ตามแม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลง แต่เกิดจากการชะลอตัวของหนี้มากกว่าการลดภาระหนี้จริง สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เช่น รถยนต์และบัตรเครดิต มีการหดตัวสูง สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งที่หนี้เสียโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อพาณิชย์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจ

สินเชื่อที่มีการเติบโตชะลอตัว

1.สินเชื่อเพื่อยานยนต์ -7.9% (ลดลงมาก)
2.สินเชื่อส่วนบุคคล +4.3%
3.สินเชื่อบัตรเครดิต -3.4%
4.สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ -0.7%
5.สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย +2.5%

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, สศช. , ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

แชร์
ซื้อหนี้จากประชาชน ตามแนวคิด ‘ ทักษิณ’ ทำได้หรือไม่? ดีไม่ดีอย่างไร?