เกิดแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจระดับ 9 หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย “Reciprocal Tariff” หรือมาตรการเก็บภาษีแบบตอบโต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคมเปญหลักของเขาในการเลือกตั้งสมัยที่สอง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและการผลิต แน่นอนว่าส่งผลต่อความมั่งคั่งของกลุ่มมหาเศรษฐี แม้มีท่าทีสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ เองก็ได้รับความเสียหายไปด้วย theguardian รายงานว่ามูลค่าความเสียหายไปราว 536,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18.2 ล้านล้านบาท ภายในเวลาเพียง 2 วัน เท่านั้น นับเป็นการสูญเสียความมั่งคั่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของ Bloomberg
เกิดแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจระดับ 9 หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย “Reciprocal Tariff” หรือมาตรการเก็บภาษีแบบตอบโต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคมเปญหลักของเขาในการเลือกตั้งสมัยที่สอง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและการผลิต แน่นอนว่าส่งผลต่อความมั่งคั่งของกลุ่มมหาเศรษฐี แม้มีท่าทีสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ เองก็ได้รับความเสียหายไปด้วย theguardian รายงานว่ามูลค่าความเสียหายไปราว 536,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18.2 ล้านล้านบาท ภายในเวลาเพียง 2 วัน เท่านั้น นับเป็นการสูญเสียความมั่งคั่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของ Bloomberg
ซีอีโอของ Tesla และ SpaceX ยังคงครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ไม่รอดผลกระทบจากภาวะตลาด โดยหุ้น Tesla ดิ่งลงอย่างหนักในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของเขาหายไปกว่า 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากนับรวมตั้งแต่ต้นปี 2025 ความมั่งคั่งของมัสก์ลดลงไปราว 130,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท
ปัจจุบัน แม้มัสก์จะยังมีทรัพย์สินรวมกว่า 302,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.42 ล้านล้านบาท) แต่บทบาทของ SpaceX เริ่มเด่นชัดขึ้นในฐานะทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงสุดแทน Tesla
ผู้ก่อตั้ง Meta สูญเสียความมั่งคั่งไปราว 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 918,000 ล้านบาท ภายใน 2 วัน หลังจากหุ้น Meta ร่วงลงกว่า 14% ท่ามกลางความกังวลว่าสงครามภาษีจะส่งผลกระทบต่อรายได้จากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งเป็นฐานผู้ใช้งานสำคัญ ปัจจุบัน ซักเคอร์เบิร์กมีทรัพย์สินสุทธิราว 179,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6.08 ล้านล้านบาท
อดีตซีอีโอของ Amazon สูญเสียความมั่งคั่งจากราคาหุ้นที่ดิ่งลงถึง 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 799,000 ล้านบาท) ภายใน 2 วัน Amazon พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากเอเชีย โดยเฉพาะจีนและไต้หวัน ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีข้ามแดนของทรัมป์
รวมตั้งแต่ต้นปี เบโซสขาดทุนไปแล้วกว่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปัจจุบันเหลือทรัพย์สินสุทธิประมาณ 193,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.56 ล้านล้านบาท
ประธาน LVMH และบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป สูญเสียทรัพย์สินกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 374,000 ล้านบาท) จากผลกระทบของการตั้งภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปของทรัมป์ ซึ่งสูงถึง 20% และภาษีที่สูงสุดถึง 54% ต่อสินค้าแฟชั่นจากเอเชีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตหลักของแบรนด์ในเครือ LVMH ปัจจุบัน ทรัพย์สินของอาร์โนลต์ลดลงเหลือราว 158,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้จะขาดทุนเล็กน้อยในช่วง 2 วันที่ตลาดผันผวน แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนานกลับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ “เอาตัวรอด” ได้ โดย หุ้น Berkshire Hathaway สูญทรัพย์ไปราว 2,570 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 87,300 ล้านบาท) หรือ -2% แต่โดยรวมแล้วปีนี้ เขายังทำกำไรจากการลงทุนได้กว่า 12,700 ล้านดอลลาร์ หรือ 9% และปัจจุบันมีทรัพย์สินรวมประมาณ 155,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.27 ล้านล้านบาท
ประเทศไทยยืนตรงไหนของสงครามครั้งนี้
ส่งออกไทยที่พึ่งพาตลาดโลกกว่า 60% ของ GDP ย่อมไม่อาจรอดพ้นจากแรงสั่นสะเทือนของสงครามภาษีรอบใหม่สงครามภาษีรอบใหม่อาจเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่ทำให้โลกเดินห่างจาก ระบบการค้าเสรี ซึ่งเป็นหัวใจหลักการขับเคลื่อนการเติบโตของไทยในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา การพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศ หรือห่วงโซ่การผลิตเดิม อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
รัฐบาลไทยและภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้อง เร่งกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ หาเส้นทางการค้าใหม่ เช่น ตลาดอินเดียประเทศที่มีประชากรสูงที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็ ต้องรื้อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ผ่านเทคโนโลยี รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเจรจาเชิงรุก และการยึดโยงกับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างยั่งยืน
ที่มา : theguardian