ตลาดโลหะมีค่าคึกคัก! ดันราคาทองคำพุ่งทะยานทำสถิติใหม่ในรอบหลายสัปดาห์ ทะลุ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ทองแดงก็ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในรอบ 4 เดือน สวนทางกับข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซา ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาโลหะมีค่าในขณะนี้
ราคาทองคำพุ่งทะยานทะลุ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายสัปดาห์ ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องคือความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีรายงานข่าวการเสียชีวิตของนายอิสมาอิล ฮานีเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส จากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในอิหร่าน เหตุการณ์นี้ทำให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความขัดแย้งที่อาจลุกลามบานปลาย และหันมาลงทุนในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากทองคำมีราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง ทองคำก็จะมีราคาถูกลงในสายตานักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ส่งผลให้มีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตาการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างใกล้ชิด แม้ว่าเฟดจะส่งสัญญาณว่าอาจจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์บางส่วนก็เตือนว่าราคาทองคำอาจจะผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และนโยบายการเงินของเฟดยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทะลุระดับ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมซึ่งจะได้ข้อสรุปในวันนี้
นักลงทุนมีแนวโน้มเทขายดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนการประกาศมติของเฟด เนื่องจากคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งนี้ แต่จะให้ความสำคัญกับถ้อยแถลงของประธานเฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐานในการประชุมเดือนกันยายน หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านได้ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยถือเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย
ราคาทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง รายงานข่าวการเสียชีวิตของนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส จากการโจมตีทางทหารของอิสราเอลในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ได้กลายเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนเกี่ยวกับความขัดแย้งที่อาจลุกลามบานปลาย สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความยืดเยื้อของสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส ซึ่งดำเนินมาเป็นระยะเวลากว่า 9 เดือนโดยปราศจากสัญญาณของการยุติ
นอกจากนี้ ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอลยังคงอยู่ในระดับสูง หลังจากที่ทั้งสองประเทศมีการโจมตีด้วยขีปนาวุธใส่กันเมื่อช่วงต้นปี และการโจมตีกลุ่มติดอาวุธเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอนโดยอิสราเอลเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน สถานการณ์เหล่านี้ได้กระตุ้นให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น
ราคาทองคำขาวล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 0.7% สู่ระดับ 976.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาเงินล่วงหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% สู่ระดับ 28.745 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดโลหะมีค่าสะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองในวงกว้าง
ราคาทองแดงปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่ต่ำกว่าคาด และสัญญาณบวกจากรัฐบาลจีนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม สำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองแดงในตลาดลอนดอนปิดที่ 9,123.50 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้น 1.7% ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองแดง 1 เดือนในตลาด COMEX ปิดที่ 4.1368 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เพิ่มขึ้น 1.1% ด้านข้อมูล PMI ล่าสุดเผยให้เห็นว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกันในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ภาคบริการก็ขยายตัวในอัตราที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีความหวังว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากการประชุมโปลิตบูโรของจีนส่งสัญญาณว่ารัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แม้ว่านักวิเคราะห์จะมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการอะไรบ้าง แต่ความคาดหวังนี้ก็เพียงพอที่จะผลักดันราคาทองแดงให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ เวลานี้ตลาดทองแดงกำลังจับตาการดำเนินการของปักกิ่งอย่างใกล้ชิดเพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) ระบุว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วตามราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นหลังสงครามอิสราเอลกลับมาปะทุ อีกทั้ง เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นหลัง BOJ ขึ้นดอกเบี้ยตามตลาดคาดก็เป็นปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท
นอกจากนี้ ตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าคาดเป็นปัจจัยที่ทำให้บาทแข็งค่าขึ้นมาก่อนหน้านี้ด้วย ในระยะต่อไป ต้องจับตาผลการประชุม Fed คืนนี้ และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น กดดันให้บาทกลับมาอ่อนได้ มองกรอบเงินบาทราว 35.50-36.00 ในช่วง 1 เดือนจากนี้
นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า เงินบาทในเดือนที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นเร็วเป็นผลจากหลายสาเหตุ คือ 1) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ที่ออกมาต่ำกว่าคาด 3 เดือนติดต่อกัน 2) เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหนุนให้เงินบาทแข็งค่าตาม โดยเงินเยนแข็งค่าจากที่ตลาดมองว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะขึ้นดอกเบี้ยได้ ขณะที่ดอกเบี้ยในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง ซึ่งล่าสุด BOJ ก็ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไป 15 bps มาอยู่ที่ 0.25% ทำให้เงินเยนแข็งค่าต่อ และ 3) ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กลับมาปะทุขึ้น หลังอิสราเอลโจมตีเบรุต ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น หนุนให้บาทแข็งค่าขึ้นในช่วงข้ามคืน
เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าได้ในระยะสั้นนี้ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยดังที่ตลาดคาด ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) สูงขึ้น และกดดันให้บาทอ่อนค่าได้ นอกจากนี้ การเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อ และความไม่แน่นอนการเมืองไทยอาจส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจยังไม่ไหลกลับไทยได้เร็วนัก จึงมองเงินบาทราว 35.50-36.00 ในช่วง 1 เดือนนี้
ในระยะกลาง-ยาว การเลือกตั้งสหรัฐฯ มีแนวโน้มทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐและ Treasury yields สูงขึ้น โดยหากโอกาสที่ Trump จะชนะการเลือกตั้งมีสูงขึ้น อาจส่งผลให้สกุลเงินภูมิภาคและเงินบาทอ่อนค่า และเป็นความเสี่ยง Tail-risk ต่อเงินบาท
โดย SCB FM พบว่า เงินบาทจะได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้น Tariffs ทางอ้อม ผ่านแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่จะแย่ลง และ Correlation ระหว่างบาท-หยวนที่สูง ทำให้บาทอ่อนค่าตามเงินหยวน ทั้งนี้ ในวันที่มีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ต่อสินค้าจีนในปี 2019 ที่ทำให้สกุลเงิน EM และเอเชียอ่อนค่าลง พบว่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าชัดเจนนัก (Direct impact ต่ำ) นายแพททริกประเมินว่า หาก Trump ชนะการเลือกตั้งและขึ้น Tariffs ดังที่ประกาศไว้ เงินบาทจะมีความเสี่ยง (Tail-risk) ที่อาจอ่อนค่าไปสู่ระดับ 38.10 บาทได้ (โดยให้ปัจจัยอื่นคงที่ และให้เงินหยวนอ่อนค่าไปที่ 8 หยวนต่อดอลลาร์)
ที่มา investing