ทำไม ทองคำ คือ หลุมหลบภัย ? รวมมุมมองแนวโน้มราคาทองคำปี 2025

อีกไม่ถึง 3,000  บาทราคาทองในประเทศก็จะถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำแล้ว โดยราคาได้ทำจุดสูงสุดใหม่เมื่อทะลุ 47,600  บาทต่อบาททองคำ ขณะที่ราคา Gold Spot ก็ใกล้แตะ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดเป็รประวัติการณ์ในรอบ  20 ปีเลยทีเดียว 

แน่นอนว่า เมื่อราคาขึ้นมาสูงขนาดนี้แล้ว นักลงทุนจำนวนมากอยากรู้ว่าแล้วราคาทองยังไปต่อได้อีกแค่ไหน ที่สำคัญสถานการณ์หรือปัจจัยต่างๆที่ดันให้ราคาทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ร้อนแรงในปี 2568 นี้เป็นอย่างไรบ้าง  

SPOTLIGHT รวบรวมข้อมูลจากหลายสำนักที่ประเมินราคาทองคำในปี 2025 โดยหนึ่งในข้อมูลสำคัญคือ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ ที่บรรยายในงาน Gold and Silver The Utimate Safe Haven โดย บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น "ที่หลบภัย" หรือ Safe Haven สำหรับนักลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอน ปี 2025 กำลังเป็นอีกหนึ่งปีที่ทองคำยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ทุนสำรองระหว่างประเทศ หรือปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ 

ทองคำ ออมวันนี้ยังไม่สาย 

การลงทุนที่ปลอดภัยในยุคความไม่แน่นอน ทองคำยังคงถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ได้แก่

• เป็นการออมที่มีความปลอดภัยสูง
• เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในระยะยาว
• มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทั่วโลก
• มีความเป็นอิสระจากผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้นและพันธบัตร
• สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของค่าเงิน

และจากข้อมูลพบว่าการลงทุนออมทองคำในวันนี้ก็ยังไม่สาย เนื่องจากราคาทองคำมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามปัจจัยเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น

วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ

-วิกฤตซับไพรม์ (2007-2010)
-เงินเฟ้อในสหรัฐฯ (2021-2024)

สงคราม

-สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990-1991)
-สงครามการค้า (2018-2020)
-สงครามรัสเซีย-ยูเครน (2022 จนถึงปัจจุบัน)
-สงครามอิสราเอล ฮามาส (2023 จนถึงปัจจุบัน)  

ขณะที่ปัจจัยในปัจจุบันยังเอื้อให้ทองคำยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้ เราลองมาดูกันว่าแต่ละสถานการณ์ยังหนุนราคาทองคำต่ออย่างไร ?   

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำในปี 2025

1. อัตราดอกเบี้ยโลก

-ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำอัตราดอกเบี้ยที่สูงอาจทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย

2. ทุนสำรองระหว่างประเทศและการสะสมทองคำของประเทศมหาอำนาจ

-ธนาคารกลางจีนมีการสะสมทองคำเพิ่มขึ้น โดยเข้าซื้อทองคำ 18 เดือนติดต่อกันในช่วง พ.ย.2565 - เม.ย.2567 รวม 316 ตัน จากนั้นหยุดซื้อ 6 เดือน และกลับมาเริ่มซื้อในเดิอน พ.ย. 2567

-ธนาคารกลางอินเดีย ยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำรายสำคัญ โดยซื้อทองคำต่อเนื่อง 11 เดือน
ในปี 2567 ที่ผ่านมา 

-ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรอง เพื่อลดความเสี่ยงจาก
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดย ผู้ที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลกอันดับหนึ่งได้แก่
สหรัฐอเมริกา 8,133.5 ตันตามมาด้วยเยอรมันนี 3,351.5 ตัน ไอเอ็มเอฟ 2,814 ตัน อิตาลี
2,451.8 ตัน และฝรั่งเศส 2,437 ตัน ส่วนไทยถือครองทองคำอยู่ที่ 234.5 ตัน  

3. ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

-ความขัดแย้งระหว่างประเทศและสงคราม เช่น สงครามการค้า สงครามในตะวันออกกลาง และความตึงเครียดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นปัจจัยที่กระตุ้นความต้องการทองคำ

-นักลงทุนมองหาทองคำเป็นที่พักเงินเมื่อมีเหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง

4. แนวโน้มเศรษฐกิจโลก

-การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้มีแรงกดดันต่อตลาดการเงินและกระตุ้น
ให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง

-เงินเฟ้อที่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนทองคำ

แนวโน้มราคาทองคำในปี 2025

ราคาทองคำในปี 2025 มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอยเตอร์รายงานว่าราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเมษายน ปิดตลาดทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นคือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นและทำให้นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

ตั้งแต่ต้นปี 2025 นโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการภาษีศุลกากรที่กระทบต่อสินค้าหลายกลุ่ม นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีแนวคิดที่จะผนวกกรีนแลนด์เข้ากับดินแดนสหรัฐฯ และมีแนวทางการทูตที่แตกต่างจากแบบแผนดั้งเดิม สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน นักลงทุนจึงมองหาทางเลือกในการกระจายความเสี่ยง ส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ระบุว่า กองทุน ETF ทองคำในยุโรปมีการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นถึง 46.7 เมตริกตัน หรือ 3.6% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มของช่วงปี 2021-2024 ที่มีเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะปรับฐาน โดยดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปรับตัวลดลงกว่า 10% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากถอนตัวจากตลาดหุ้นและหันมาถือครองทองคำมากขึ้น

ด้านมุมมองของยูบีเอส กรุ๊ป (UBS Group) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำ โดยระบุว่าราคาทองคำอาจแตะ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายใน 4 ไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ แผนของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มภาษีในหลายอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยต่อไป ธนาคารหลายแห่ง เช่น แมคควอรี กรุ๊ป (Macquarie Group) และบีเอ็นพี พารีบาส์ (BNP Paribas) ต่างปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำ โดยบางสำนักวิเคราะห์มองว่าอาจแตะระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

อีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาทองคำคืออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย หาก Fed เลือกใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อไป

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แมคควอรี กรุ๊ป (Macquarie Group) คาดว่าราคาทองคำอาจพุ่งแตะ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาส 2 ปีนี้ ขณะที่บีเอ็นพี พารีบาส์ (BNP Paribas) ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่สูงกว่า 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ดังนั้นโดยรวมแล้ว แนวโน้มราคาทองคำในปี 2025 ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ซับซ้อน นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างจับตามองพัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และทิศทางของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาทองคำในอนาคต