ภาคเอกชนร้อนระอุ! ค่าเงินบาทแข็งค่าพุ่งไม่หยุด ทำผู้ส่งออกไทยหายใจรวยริน กกร. ออกโรงส่งสัญญาณเตือน เตรียมหารือ ธปท. หวังพยุงเศรษฐกิจ ทั้งลดดอกเบี้ย ทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อ พร้อมเสนอ 6 แนวทางปฏิรูปพลังงาน รับมือความท้าทายรอบด้าน
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเตรียมเข้าพบผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหารือแนวทางการดูแลค่าเงินบาท พร้อมเสนอให้พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดย กกร. ประเมินว่าภาวะเงินบาทแข็งค่าอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Real Sector เป็นมูลค่าสูงถึง 1.8 - 2.5 แสนล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่า มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น ต่างปรับตัวลดลง ส่งผลให้หลายประเทศดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกในอนาคต ขณะที่จีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ เพื่อพยุงภาคการผลิตและการบริโภคภาคเอกชน
ประเด็นที่ กกร. ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 32.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับ 36.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราการแข็งค่าประมาณ 12% ซึ่งสูงกว่าค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค และอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีอาจทำให้รายได้ในรูปเงินบาทของผู้ส่งออกกระทบได้ราว 1.8-2.5 แสนล้านบาท
แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ กกร. ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าระดับ 34.00 - 34.50 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่เอื้อต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย กกร. เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป รวมทั้งสื่อสารเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันท่วงที พร้อมกันนี้ ควรเร่งส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งค่า เช่น ต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงานและวัตถุดิบที่ลดลง ไปยังภาคการผลิตและประชาชนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม
กกร. เสนอให้ ธปท. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามที่สะท้อนอยู่ในตลาดการเงินล่วงหน้า (Forward Market) ซึ่งปัจจุบันคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงอย่างน้อย 0.25% ภายในปีนี้ และอีกประมาณ 0.25% - 0.50% ภายในปีหน้า ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจจริง (Real Sector) ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ กกร. ยังเสนอให้ทบทวนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพและโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันและอนาคต
ในส่วนของสถานการณ์อุทกภัย กกร. ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม และยังมีความเสี่ยงจากพายุลูกใหม่ที่อาจเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/67 คาดว่าน้ำท่วมในรอบนี้จะสร้างความเสียหายประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 0.2% ของ GDP
กกร. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะยังคงขยายตัวได้ในกรอบ 2.2% ถึง 2.7% การส่งออกขยายตัว 1.5-2.5% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 0.5-1% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ มาตรการเยียวยา และมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กกร. ยังเสนอแนะให้ภาครัฐเร่งพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม โดยบูรณาการข้อมูลระดับน้ำและพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อแจ้งเตือนประชาชนและผู้ประกอบการแบบเรียลไทม์ผ่านโทรศัพท์มือถือ รวมถึงร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ต้นน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก
ที่ประชุม กกร. ได้พิจารณาข้อเสนอต่อแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2567 – 2580 (PDP2024) เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างเสถียรภาพด้านพลังงาน โดยมี 6 ข้อเสนอหลัก ดังนี้
1. เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน: ปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (LT-LEDS) เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศไทย
2. ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม: เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ควบคู่กับการพัฒนาระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) และในช่วงเปลี่ยนผ่านควรลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน โดยเร่งพัฒนาแหล่งพลังงานในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา (OCA)
3. ส่งเสริมพลังงานทางเลือกใหม่: ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันพิจารณาจัดหาพลังงานทางเลือกใหม่ เช่น ไฮโดรเจน พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และเทคโนโลยีการใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน
4. เร่งเปิดเสรีไฟฟ้า: เร่งเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) ภายในปี พ.ศ. 2569 กำหนดแนวทางและกรอบเวลาการเปิดเสรีไฟฟ้าใน PDP 2024 ให้ชัดเจน พัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ส่งเสริมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และพัฒนาระบบการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วอย่างครบวงจร
5. ประเมินความคุ้มค่าโรงไฟฟ้าใหม่: พิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยเปรียบเทียบกับทางเลือกในการปรับปรุงโรงไฟฟ้าเดิม (Repowering หรือ Overhaul) และกำหนดใช้เกณฑ์ดัชนีโอกาสการเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation: LOLE) ควบคู่กับการเปิดเผยข้อมูลกำลังผลิตสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin)
6. จัดตั้ง กรอ. พลังงาน: จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน (กรอ. พลังงาน) โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนะนโยบาย แผนงาน และมาตรการด้านพลังงานของประเทศ ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธาน กกร. กล่าวเพิ่มเติมว่า "สมุดปกขาววันนี้มีข้อสรุป และจะปรับข้อเสนอให้มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว โดยมี 4 ข้อ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือ SMEs การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้"
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทยเตรียมทำหนังสือถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับทิศทางค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ผันผวนและแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนจากการแทรกแซงค่าเงินของ ธปท. ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา
สมาคมธนาคารไทยมีความเห็นสอดคล้องกับ กกร. ที่ต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เร่งพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามที่ตลาดการเงินล่วงหน้าคาดการณ์ว่าจะลดลง 0.25% ภายในปีนี้ และลดลงอีก 0.25-0.5% ในปีหน้า รวมทั้ง ต้องการให้พิจารณาทบทวนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อให้เหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาเชิงโครงสร้างอยู่มาก โดยกระทรวงการคลังจะมีการหารือกับ ธปท. ต่อไป
"การเข้าพบผู้ว่าการ ธปท. เพื่อหารือเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่จะลดเท่าไหร่หรือรอบไหน เราไม่สามารถชี้นำหรือก้าวล่วงการทำหน้าที่ของ กนง. ได้ เพียงแต่อยากให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด เพราะตอนนี้ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ภาคการส่งออก ภาคบริการ และภาคการท่องเที่ยว" นายผยงกล่าว
นายผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า หาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ตามกลไกตลาด แต่หาก กนง. ไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารพาณิชย์ก็มีนโยบายและมาตรการช่วยเหลือลูกค้าอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
สรุป สถานการณ์ "บาทแข็ง" กำลังส่งสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เช่น การหารือระหว่าง กกร. และ ธปท. เพื่อหาทางออกร่วมกัน เป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังรออยู่ข้างหน้า ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ภัยธรรมชาติ และความผันผวนของตลาดเงิน การปรับตัว การวางแผนรับมือ และการมีมาตรการที่เหมาะสม จะเป็นกุญแจสำคัญในการพาเศรษฐกิจไทยฝ่าคลื่นลมไปได้ คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร ภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมมือกันประคับประคองเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่