Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เศรษฐกิจไทยหวังพึ่งพา ภาคท่องเที่ยวมากเกินไป  กลับกลายเป็นดาบสองคม
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เศรษฐกิจไทยหวังพึ่งพา ภาคท่องเที่ยวมากเกินไป กลับกลายเป็นดาบสองคม

7 มี.ค. 68
10:47 น.
|
257
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

การพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปก็อาจเป็นดาบสองคม เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความเสี่ยงสูงและผันผวนตามปัจจัยภายนอก และอาจทำให้ไทยละเลยการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

เป็นที่รู้กันว่า ‘ภาคการท่องเที่ยว’ เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ที่ภาคส่วนอื่นอย่างการผลิตและการส่งออกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

ในปี 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 35 ล้านคน และสร้างรายได้เข้าประเทศถึง 1.67 ล้านล้านบาท

ด้วยตัวเลขแบบนี้ ไม่แปลกที่เวลาพูดถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวมักจะเป็นอันดับต้นๆ ที่รัฐบาลเลือกทำ ไม่ว่าจะเป็น ฟรีวีซ่า , โครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" , การแจกเงินหมื่นกระตุ้นการใช้จ่าย หรือแผนระยะยาวอย่างการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น entertainment complex

แต่ถึงแม้ไทยจะโชคดีที่มีภาคการท่องเที่ยวเป็นพระเอก คอยช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคอื่นชะลอตัว การพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปก็อาจเป็นดาบสองคม เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความเสี่ยงสูงและผันผวนตามปัจจัยภายนอก และอาจทำให้ไทยละเลยการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

วันนี้ SPOTLIGHT จะพาทุกคนมาสำรวจมุมที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงของภาคการท่องเที่ยวกัน ว่ามันอาจเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไทยติดอยู่ใน ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ มานานหลายสิบปี

ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจปัจจุบันของประเทศไทย ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงได้ภายในปี พ.ศ. 2580 หรือในอีก 12 ปีข้างหน้า แต่คำถามคือ… เราจะทำได้จริงหรือไม่?

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะพาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และพัฒนาไปเป็นประเทศรายได้สูงเหมือนเกาหลีใต้ และสิงคโปร์

แต่จนถึงปัจจุบัน เราก็ยังทำไม่เคยสำเร็จ เพราะไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตในระดับ 12-13% ได้เลย

มิหนำซ้ำ การเติบโตทางเศรษฐกิจของเรายังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปีนี้อยู่แค่ที่ 2.5% เป็นรองที่โหล่ในอาเซียน นำเพียงเมียนมาร์ที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ และไม่เคยแตะ 3% ได้แล้วมาเป็นเวลา 6 ปีติดต่อกันเรียกได้ว่าห่างไกลมากจากระดับ 5% ที่จะทำให้ไทยหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางได้

โดยหากถามถึงตัวการสำคัญที่ขัดขวางเราจากการเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP คำตอบก็มีได้หลายประการ

  • ทั้งการที่ประเทศไทยยังปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้ช้ากว่าหลายประเทศ ทำให้เสียโอกาสในการแข่งขัน
  • การที่ระบบการศึกษาของไทยยังมีความเหลื่อมล้ำและพัฒนาไม่ทันกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน ขาดทักษะที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต
  • และการที่โครงสร้างเศรษฐกิจของไทยยังพึ่งพาการผลิตและส่งออกสินค้าพื้นฐานเป็นหลัก ขณะที่หลายประเทศเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากปัจจัยเหล่านี้ อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ คือ การหวังพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว และทรัพยากรธรรมชาติ มากเกินไป จนทำให้ทรัพยากร ทั้งทุนและแรงงาน จำนวนมากไหลไปอยู่ในภาคส่วนนี้

ผลเสียต่อเศรษฐกิจเมื่อไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมากเกินไป 

โดยถึงแม้การท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ และสร้างรายได้ให้กับหลายธุรกิจ ทั้งโรงแรม บริษัททัวร์ ร้านอาหาร ภาคเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง บริการสุขภาพ และธุรกิจบันเทิง ภาคการท่องเที่ยวก็มีจุดอ่อนหลายประการ

  • ภาคการท่องเที่ยวมีความเปราะบางสูงและอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลก โรคระบาด ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความผันผวนทางการเมือง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขาดความมั่นคงและขยายตัวได้ไม่เต็มศักยภาพ
  • การที่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระจุกตัวอยู่ในไม่กี่จังหวัด เช่น กทม. ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ ทำให้การท่องเที่ยวไม่ได้ทำให้เกิดการสร้างรายได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังมีปัญหาเรื่อง 'การรั่วไหลทางเศรษฐกิจ' ซึ่งหมายถึงเงินที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายไม่ได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวไม่ได้ส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า

จากงานวิจัยของ รศ.ดร.บัณฑิต ชัยวิชญชาติ และคณะ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวไทยมีส่วนรั่วไหลมากถึง 28.37%

หมายความว่า ทุกๆ รายได้ 100 บาทจากการท่องเที่ยว ไทยจะสูญเสียไป 28.37 บาท เนื่องจากผู้ประกอบการต้องนำเข้าวัตถุดิบและอุปกรณ์จากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวใช้เงินกับธุรกิจที่ต่างชาติเป็นเจ้าของ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย

โดยในปี 2559 รายได้จากการท่องเที่ยวรั่วไหลออกจากประเทศสูงถึง 7.15 แสนล้านบาท รายจ่ายส่วนใหญ่เป็น การนำเข้าเนื้อสัตว์ บริการทางการเงิน การค้าปลีก และการค้าส่ง โดยเฉพาะ ธุรกิจค้าปลีก ก็คิดเป็น 35.88% ของเงินรั่วไหล หรือ 1.84 แสนล้านบาท เข้าไปแล้ว

นี่แปลว่าเงินที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายในไทยจำนวนมาก ไม่ได้ถูกใช้เพื่อพัฒนาประเทศ แต่กลับถูกส่งออกไปยังประเทศผู้ผลิตสินค้านำเข้า และธุรกิจที่ต่างชาติเป็นเจ้าของ

นอกจากนี้ ผลกระทบจากการพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวอย่างเช่น การที่ปัจจุบันเกาะภูเก็ตต้องเผชิญกับปัญหาขยะล้นเมือง โดยมีปริมาณขยะมากกว่า 1,000 ตันต่อวัน ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการระบาดของโควิด-19

ขณะเดียวกัน ปัญหาชาวต่างชาติที่ใช้สถานะนักท่องเที่ยวเป็นฉากบังหน้าเพื่อเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายก็เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มนักลงทุนจีนที่แฝงตัวทำธุรกิจในย่านห้วยขวาง หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสราเอลในอำเภอปาย ที่ก่อความวุ่นวายให้กับคนในพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ แต่กลับเข้ามาเพื่อเสพความบันเทิงแบบผิด ๆ โดยมองประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของอบายมุข ไม่ว่าจะเป็นการใช้กัญชาอย่างเสรี หรือการท่องเที่ยวเชิง Sex Tourism ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว และแน่นอนว่าไม่สามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับประเทศไทยได้เท่าการพัฒนาอุตสาหกรรม และสร้างงานสร้างอาชีพรายได้สูงให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สมดุล ไม่พึ่งพาภาคท่องเที่ยวมากเกินไป 

จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าการหวังพึ่งภาคการท่องเที่ยวอาจไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะหากไม่มีการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ประเทศก็จะยังคงเผชิญกับความเปราะบางและข้อจำกัดในการเติบโต

ดังนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจไทยควรดำเนินไปอย่างสมดุล โดยหนึ่งในแนวทางสำคัญคือ
-การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการด้านภาษีที่จูงใจ การลดขั้นตอนทางกฎหมาย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และดิจิทัล

-นอกจากนี้ ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตและผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งคิดเป็นกว่า 99% ของธุรกิจทั้งหมดในไทย แต่กลับมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี การเพิ่มมาตรการสนับสนุน

-ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ถนนและระบบขนส่งสาธารณะ แต่รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น การขยายเครือข่าย 5G และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล

-และที่สำคัญที่สุดคือ การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้ของประชาชนอย่าขงแท้จริง การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเพิ่มการเข้าถึงหลักสูตรด้าน STEM และดิจิทัล

หากประเทศไทยสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้ประเทศก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และขยับเข้าสู่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง

แชร์
เศรษฐกิจไทยหวังพึ่งพา ภาคท่องเที่ยวมากเกินไป  กลับกลายเป็นดาบสองคม