การพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปก็อาจเป็นดาบสองคม เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความเสี่ยงสูงและผันผวนตามปัจจัยภายนอก และอาจทำให้ไทยละเลยการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว
เป็นที่รู้กันว่า ‘ภาคการท่องเที่ยว’ เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ที่ภาคส่วนอื่นอย่างการผลิตและการส่งออกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
ในปี 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 35 ล้านคน และสร้างรายได้เข้าประเทศถึง 1.67 ล้านล้านบาท
ด้วยตัวเลขแบบนี้ ไม่แปลกที่เวลาพูดถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวมักจะเป็นอันดับต้นๆ ที่รัฐบาลเลือกทำ ไม่ว่าจะเป็น ฟรีวีซ่า , โครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" , การแจกเงินหมื่นกระตุ้นการใช้จ่าย หรือแผนระยะยาวอย่างการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น entertainment complex
แต่ถึงแม้ไทยจะโชคดีที่มีภาคการท่องเที่ยวเป็นพระเอก คอยช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคอื่นชะลอตัว การพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปก็อาจเป็นดาบสองคม เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความเสี่ยงสูงและผันผวนตามปัจจัยภายนอก และอาจทำให้ไทยละเลยการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว
วันนี้ SPOTLIGHT จะพาทุกคนมาสำรวจมุมที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงของภาคการท่องเที่ยวกัน ว่ามันอาจเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไทยติดอยู่ใน ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ มานานหลายสิบปี
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจปัจจุบันของประเทศไทย ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงได้ภายในปี พ.ศ. 2580 หรือในอีก 12 ปีข้างหน้า แต่คำถามคือ… เราจะทำได้จริงหรือไม่?
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะพาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และพัฒนาไปเป็นประเทศรายได้สูงเหมือนเกาหลีใต้ และสิงคโปร์
แต่จนถึงปัจจุบัน เราก็ยังทำไม่เคยสำเร็จ เพราะไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตในระดับ 12-13% ได้เลย
มิหนำซ้ำ การเติบโตทางเศรษฐกิจของเรายังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปีนี้อยู่แค่ที่ 2.5% เป็นรองที่โหล่ในอาเซียน นำเพียงเมียนมาร์ที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ และไม่เคยแตะ 3% ได้แล้วมาเป็นเวลา 6 ปีติดต่อกันเรียกได้ว่าห่างไกลมากจากระดับ 5% ที่จะทำให้ไทยหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางได้
โดยหากถามถึงตัวการสำคัญที่ขัดขวางเราจากการเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP คำตอบก็มีได้หลายประการ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากปัจจัยเหล่านี้ อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ คือ การหวังพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว และทรัพยากรธรรมชาติ มากเกินไป จนทำให้ทรัพยากร ทั้งทุนและแรงงาน จำนวนมากไหลไปอยู่ในภาคส่วนนี้
โดยถึงแม้การท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ และสร้างรายได้ให้กับหลายธุรกิจ ทั้งโรงแรม บริษัททัวร์ ร้านอาหาร ภาคเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง บริการสุขภาพ และธุรกิจบันเทิง ภาคการท่องเที่ยวก็มีจุดอ่อนหลายประการ
นอกจากนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังมีปัญหาเรื่อง 'การรั่วไหลทางเศรษฐกิจ' ซึ่งหมายถึงเงินที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายไม่ได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวไม่ได้ส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า
จากงานวิจัยของ รศ.ดร.บัณฑิต ชัยวิชญชาติ และคณะ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวไทยมีส่วนรั่วไหลมากถึง 28.37%
หมายความว่า ทุกๆ รายได้ 100 บาทจากการท่องเที่ยว ไทยจะสูญเสียไป 28.37 บาท เนื่องจากผู้ประกอบการต้องนำเข้าวัตถุดิบและอุปกรณ์จากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวใช้เงินกับธุรกิจที่ต่างชาติเป็นเจ้าของ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย
โดยในปี 2559 รายได้จากการท่องเที่ยวรั่วไหลออกจากประเทศสูงถึง 7.15 แสนล้านบาท รายจ่ายส่วนใหญ่เป็น การนำเข้าเนื้อสัตว์ บริการทางการเงิน การค้าปลีก และการค้าส่ง โดยเฉพาะ ธุรกิจค้าปลีก ก็คิดเป็น 35.88% ของเงินรั่วไหล หรือ 1.84 แสนล้านบาท เข้าไปแล้ว
นี่แปลว่าเงินที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายในไทยจำนวนมาก ไม่ได้ถูกใช้เพื่อพัฒนาประเทศ แต่กลับถูกส่งออกไปยังประเทศผู้ผลิตสินค้านำเข้า และธุรกิจที่ต่างชาติเป็นเจ้าของ
นอกจากนี้ ผลกระทบจากการพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไปไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเช่น การที่ปัจจุบันเกาะภูเก็ตต้องเผชิญกับปัญหาขยะล้นเมือง โดยมีปริมาณขยะมากกว่า 1,000 ตันต่อวัน ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการระบาดของโควิด-19
ขณะเดียวกัน ปัญหาชาวต่างชาติที่ใช้สถานะนักท่องเที่ยวเป็นฉากบังหน้าเพื่อเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายก็เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มนักลงทุนจีนที่แฝงตัวทำธุรกิจในย่านห้วยขวาง หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสราเอลในอำเภอปาย ที่ก่อความวุ่นวายให้กับคนในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ แต่กลับเข้ามาเพื่อเสพความบันเทิงแบบผิด ๆ โดยมองประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของอบายมุข ไม่ว่าจะเป็นการใช้กัญชาอย่างเสรี หรือการท่องเที่ยวเชิง Sex Tourism ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว และแน่นอนว่าไม่สามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับประเทศไทยได้เท่าการพัฒนาอุตสาหกรรม และสร้างงานสร้างอาชีพรายได้สูงให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าการหวังพึ่งภาคการท่องเที่ยวอาจไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะหากไม่มีการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ประเทศก็จะยังคงเผชิญกับความเปราะบางและข้อจำกัดในการเติบโต
ดังนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจไทยควรดำเนินไปอย่างสมดุล โดยหนึ่งในแนวทางสำคัญคือ
-การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการด้านภาษีที่จูงใจ การลดขั้นตอนทางกฎหมาย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และดิจิทัล
-นอกจากนี้ ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตและผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งคิดเป็นกว่า 99% ของธุรกิจทั้งหมดในไทย แต่กลับมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี การเพิ่มมาตรการสนับสนุน
-ขณะเดียวกัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ถนนและระบบขนส่งสาธารณะ แต่รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น การขยายเครือข่าย 5G และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล
-และที่สำคัญที่สุดคือ การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้ของประชาชนอย่าขงแท้จริง การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเพิ่มการเข้าถึงหลักสูตรด้าน STEM และดิจิทัล
หากประเทศไทยสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้ประเทศก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และขยับเข้าสู่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง