เตือนคนไทยออมเงินน้อยหวังน้ำบ่อน้อย 'หวย มรดก ลูกหลานเลี้ยง'ความพร้อมหลังเกษียณมีไม่ถึง 40%
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำ “ดัชนีความพร้อมเพื่อการเกษียณ” (NRRI) เพื่อหาเครื่องมือวัดระดับ "ความพร้อมหรือไม่พร้อมของคนในประเทศไทยหลังเกษียณ" ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ทั้งในระดับประเทศและระดับบุคคลได้
จากการสำรวจพบว่า ตัวเลขความพร้อมด้านการเงินค่าเฉลี่ยของประเทศ มีความพร้อมต่ำกว่า 40% ขณะที่ความพร้อมด้านสุขภาพอยู่ในระดับที่สูงกว่ามิติด้านการเงิน
ก่อนหน้านี้มีการสำรวจการใช้จ่ายของคนสูงวัย พบว่า จำนวนเงินที่จะเพียงพอที่จะอยู่รอดได้หลังเกษียณ คือ "3 ล้านบาทต่อคน" และต้องทยอยนำเงินมาใช้จ่ายต่อเดือนในระดับ 6,000-7,000 บาท แต่ปัจจุบันมีการใช้จ่ายกันที่ระดับ 10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหมายความว่ามีการใช้เงินมากกว่าที่มีอยู่
“ผู้ที่มีส่วนด้านการออมที่สำคัญที่สุด คือ ประชาชน รองลงมาคือภาครัฐต้องสนับสนุนทักษะทางการเงินของประชาชน ทำอย่างไรไม่ให้ถูกหลอกทางการเงิน ส่งเสริมเครื่องมือการลงทุน ระบบการออมภาคบังคับ และฝั่งนายจ้าง ควรดูแลพนักงานไม่ใช่ดเฉพาะเวลาทำงาน แต่มองไปถึงว่าหลังเลิกทำงานควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย” รศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล หัวหน้าภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์ฯ กล่าว
ทั้งนี้ ยังแนะนำให้แรงงานในระบบใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้สูงสุด ต้องรู้ว่าตัวเองสามารถลดหย่อนได้ 15% ไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้นสิ่งที่ใส่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), สิ่งที่ใส่ไปซื้อ RMF สิ่งที่ไปซื้อประกันสุขภาพที่มีการออมเพื่อเกษียณนั้นสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ จึงอยากให้ทุกคนออมผ่านรูปแบบไหนก็ได้ ให้ได้สัดส่วน 15% ของรายได้
“ตอนนี้เชื่อว่าโดยเฉลี่ยทุกคนอยู่ใน PVD ที่ 5% ยังมี Gap อีก10% เพราะเมื่อไหร่ที่ออมต่ำกว่า 10% ต่อไปชีวิตลำบากแน่ ดังนั้นขั้นต่ำต้อง 15% หากใครทำได้ระดับ 30% เรียกว่าดี อยู่ได้ แต่ถ้าสูงกว่า 30% ถือว่าดี แต่หากถ้าต่ำกว่า 10% อนาคตต้องพึ่งพาการถูกลอตเตอรี่, ได้มรดก หรือมีลูกหลานเลี้ยงดู ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมได้คือการออมจากประโยชน์ที่ได้จากทางภาษี และหากใครมีการออมเกิน 15% อยู่แล้วให้ใส่ความรู้ด้านการลงทุนเข้าไปด้วย” รศ.ดร.พรอนงค์ กล่าว
รศ.ดร.พรอนงค์ กล่าวแนะนำการออมสำหรับแรงงานนอกระบบว่า ขอให้มีวินัยด้านการออม "หากระบบที่มีอยู่ยังไม่เอื้อจะต้องขวนขวายด้วยตัวเอง" เช่น การเข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 40 รวมถึงเข้าสู่การออมใน RMF เป็นต้น ฉะนั้นขอให้ปรับพฤติกรรมใหม่ คือ สร้างวินัยการออม โดยเฉพาะอาชีพอิสระไม่ควรลงทุนในสิ่งที่เสี่ยง ควรปรับสัดส่วนการออมและความสม่ำเสมอ จากที่เคยพบพฤติกรรมการออมคือ ออมจำนวนมากในครั้งเดียวแล้วหายไป 3 ปี หลังจากนั้นเมื่อเก็บเงินได้ใหม่จึงจะออมอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ หวังว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยการออมของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจากการเริ่มทำวิจัยเมื่อ 10 ปีก่อน ได้พบว่าระบบบำนาญครอบคลุมในสัดส่วน 40:60 แต่ปัจจุบันกลับหัวเป็นสัดส่วน 60:40 หมายความว่าตัวเลขดีขึ้น แต่ยังไม่เร็วพอกับการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด ดังนั้น ต้องตระหนักรู้ให้เร็วและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
สำหรับอุปสรรคการออมหลังเกษียณที่ทำให้การเกษียณไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ประชาชนส่วนใหญ่มักจะบอกว่า อุปสรรคคือความเสี่ยงอื่นๆ เช่น การเข้ามาของโควิดที่ทำให้คนออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวนมาก แต่อยากบอกว่าแม้โควิดไปเชื้อโรคตัวใหม่ก็จะเข้ามา ต่อไปอุปสรรคคือความเสี่ยงจะมาเร็วและมาแรงขึ้น เช่นโควิด หรือสงคราม ทุกอย่างจะเข้ามาเรื่อย ๆ อย่าให้เรื่องเหล่านี้มากระทบวินัยการออม