ข่าวเศรษฐกิจ

สรรพากร ตั้งกองสำรวจและติดตามธุรกิจนอกระบบ ดึงเข้าระบบเสียภาษีให้ถูก

9 ก.พ. 66
สรรพากร ตั้งกองสำรวจและติดตามธุรกิจนอกระบบ ดึงเข้าระบบเสียภาษีให้ถูก
ไฮไลท์ Highlight
“กลุ่มธุรกิจนอกระบบที่เป็นเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจุบันคือ แม่ค้าออนไลน์ การไลฟ์สดขายของ อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ต่างๆ ถือเป็นหนึ่งกำลังสำคัญที่ช่วยทำให้รายได้ภาษีขยายตัว”

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ปัจจุบันรูปแบบการทำธุรกิจที่เน้นระบบออนไลน์ ไลฟ์สดขายของโดยไม่ต้องมีหน้าร้านมากขึ้น การทำธุรกิจง่ายขึ้น รายได้ดีขึ้น ระบบการเสียภาษีและการจัดเก็บภาษีก็ต้องตามให้ทัน โดยกรมสรรพากรได้ตั้งกองสำรวจและติดตามธุรกิจนอกระบบ ทำหน้าที่ตรวจสอบคนหรือธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งในปีงบประมาณ 2565 มีผู้ประกอบการในส่วนนี้เข้าสู่ระบบภาษีมากถึง 2 แสนราย

“กลุ่มธุรกิจนอกระบบที่เป็นเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจุบันคือ แม่ค้าออนไลน์ การไลฟ์สดขายของ อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ต่างๆ ถือเป็นหนึ่งกำลังสำคัญที่ช่วยทำให้รายได้ภาษีขยายตัว”

ลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร
ลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร

นอกจากนี้กรมสรรพากร เชิญชวนให้ผู้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวตให้เข้ามาจดทะเบียนให้ถูกต้อง โดยยืนยันว่าเรื่องภาษีไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว กรมพร้อมที่จะประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเสียภาษีตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ระบบ ไปจนถึงกระบวนการเสียภาษีอย่างถูกต้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

สำหรับในปีงบประมาณ 2566 กรมได้รับเป้าหมายจัดเก็บรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งภาพรวมการจัดเก็บรายได้ 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.65-ม.ค.66) เก็บได้เกินกว่าเป้าหมายถึง 60,000 ล้านบาท สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอานิสงส์จากจีนเปิดประเทศ ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและบริการของไทยเป็นอย่างมาก ทำให้มั่นใจว่าการจัดเก็บรายได้ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้รายได้จากภาษีที่มีการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน มาจาก 2 ประเภท คือ
1.ภาษีแวต จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจให้สามารถกลับมามีกำไรและเสียภาษีได้มากขึ้น

ซึ่งภาพรวมการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล และแวต ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปีนี้ที่แวตจากการบริโภคฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี ตามการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็ก ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ถือเป็นฐานภาษีในอนาคต ซึ่งปัจจัยบวกดังกล่าวทำให้ เชื่อมั่นว่าการจัดเก็บภาษีปีนี้คงไม่มีอะไรต้องกังวลมากนัก

สำหรับการรายงานผลการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นทางการที่กระทรวงการคลังรายงาน ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 หรือ จากต.ค.- ธ.ค.2565 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 6.33 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 7.35 หมื่นล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมาย 13.2%  เฉพาะกรมสรรพากรซึ่งเป็นกรมจัดเก็บภาษีที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณนี้สามารถจัดเก็บภาษีได้รวม 4.46 แสนล้านบาท เกินกว่าเป้าหมาย  4.07 หมื่นล้านบาท หรือเกินกว่าเป้าหมาย 10%

ทั้งนี้ ในปี 2566 กระทรวงการคลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่3.8 % เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 27.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 147% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ปริมาณการส่งออกสินค้าจะชะลอลง ตามการชะลอลงของอุปสงค์ประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยคาดว่า การส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัวที่ 0.4%

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เรียก 3 อธิบดีกรมจัดเก็บภาษีเข้าประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และ กรมศุลกากร หลังรัฐบาลปรับลดภาษีน้ำมันดีเซลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่อภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ 2566 อยู่ที่ 2.49 ล้านล้านบาท

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT