นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังลงนาม MOU จัดตั้งรัฐบาล ของพรรคร่วม ว่า “หอการค้ามองว่าเป็นการทำการบ้านและเตรียมความพร้อมของชุดนโยบายต่าง ๆ ที่ออกมาได้ทันทีหลังจากกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ ถือว่าเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศแบบไร้รอยต่อ”
โดยหอการค้าฯ มองเป็น 3 มิติสำคัญในการวางนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ คือ
มิติด้านเศรษฐกิจ ที่ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ทั้งการร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม การจัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์
การกำหนดค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเซียนและเวทีระหว่างประเทศตามกรอบความร่วมมือต่างๆ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือพหุภาคี ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกได้มากยิ่งขึ้น
รวมถึง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลักดันการกระจายอำนาจ ทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เพิ่มการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และแหล่งน้ำในภาคการเกษตร การตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งการอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME
การยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า ลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หรือแม้แต่การแก้ไขกฎหมายประมง นโยบายทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกิดการลงทุนและการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยทะยานส่วนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้
มิติด้านสังคม มีการวางนโยบายที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมโดยรวม ทั้งการเตรียมผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม กระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ การระบบสวัสดิการดูแลประชาชน การแก้ไขปัญหายาเสพติด การยกระดับระบบสาธารณสุขเพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ การปฏิรูประบบการศึกษา และการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero)
มิติด้านการเมือง เป็นการปฏิรูปการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของภาครัฐ และจะช่วยลดความขัดแย้งของสังคมได้มากขึ้น ทั้งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐ การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม
ขณะที่แนวทางบริหารประเทศ ทั้ง 5 ข้อนั้น เชื่อว่าจะเป็นการวางกรอบการทำงานของแต่ละพรรคการเมืองผ่านฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้พรรคร่วมรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างชัดเจน ภายใต้ข้อตกลงของร่วม เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สิ่งสำคัญที่ภาคเอกชนจับตามอง คือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อยไม่ยืดเยื้อ เพื่อให้ประเด็นต่างๆ ที่ทุกพรรคได้ตกลงกันไว้ผ่าน MOU สามารถนำไปขับเคลื่อนในเชิงนโยบายและการปฏิบัติได้จริงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเข้ามาเร่งจัดทำงบประมาณประจำปีเพื่อให้แผนงานและโครงการต่างๆ ของประเทศมีความต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก
สำหรับคะแนนเสียง 313 คะแนน จาก 8 พรรคการเมือง นั้น หอการค้าฯ มองว่า เป็นจุดแข็ง เพราะมีเสียงข้างมากในสภาฯ ขณะที่จุดอ่อน คือ เป็นความไม่แน่นอนว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ไหม คงต้องรอเสียงเพิ่มเติมมั้งจาก ส.ส. และ สว. มาทำให้เกิดความแน่นอน แต่เชื่อว่าวันนี้ ประเด็นจากการ MOU ที่ออกมา น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ทั้ง ส.ส. และ สว. บางส่วนให้การสนับสนุนเพิ่มเติมจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้