ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวน ความร่วมมือระหว่างประเทศ ถือเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะนำพาประเทศ ไปสู่การเติบโตที่มั่นคง ล่าสุด ภาคเอกชนไทย และจีน ได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ในการกระชับความสัมพันธ์ และร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านการสถาปนา "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" กลไกนี้ เกิดจากความร่วมมือของ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมือกับ หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน ประกาศสถาปนา "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศ ให้บรรลุการเติบโตที่มั่นคง ท่ามกลางพลวัตทางเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
กลไกดังกล่าวมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งภาคการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลเชิงลึก ตลอดจนการขจัดอุปสรรคและปัญหาทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทย-จีน สู่ความยั่งยืนในระยะยาว
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่หนึ่ง และตัวแทนประสานงานของกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน ของทั้งสามองค์กร กล่าวในงานแถลงข่าวถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยเน้นย้ำว่า "ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-จีน มิได้มีเพียงมิติทางประวัติศาสตร์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง การสถาปนากลไกนี้ จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมช่วยลดอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและข้อบังคับทางการค้า"
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างไทย-จีน สู่ความยั่งยืน กลไกดังกล่าวประกอบด้วยแผนงานสำคัญ 9 ประการ ดังนี้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและจีน โดยเน้นย้ำว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนมิได้เป็นเพียงคู่ค้าอันดับหนึ่งของประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นดั่งมิตรประเทศ ที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิต และมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นในทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เสมือนญาติมิตรที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
หอการค้าไทย ในฐานะองค์กรหลักของภาคเอกชนไทย มีเครือข่ายสมาชิกที่ครอบคลุมกว่า 156,000 รายทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายหอการค้าจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้ประกอบการไทยเชื้อสายจีน อันเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคให้เจริญรุ่งเรืองมาอย่างต่อเนื่อง
ในยุคปัจจุบันที่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สาธารณรัฐประชาชนจีนถือเป็นประเทศต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างศักยภาพแก่ภาคการผลิต และห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าระดับโลก ที่ช่วยเปิดตลาดสู่สากล
การลงทุนโดยตรงจากสาธารณรัฐประชาชนจีนในประเทศไทย นอกจากจะก่อให้เกิดการจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้พัฒนา และยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยี ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และนวัตกรรมจากจีน
ยิ่งไปกว่านั้น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหอการค้าไทย ได้จัด "หลักสูตรเทพเซียน" เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในเชิงลึก เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม พัฒนาการทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีของจีน รวมถึงทักษะการใช้ภาษาจีนเพื่อการเจรจาธุรกิจ โดยได้ดำเนินโครงการมาแล้ว 4 รุ่น อันเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนของทั้งสองประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นายสนั่น ได้แสดงความมั่นใจว่า "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" จะเป็นเวทีสำคัญของภาคเอกชนในการหารือ และร่วมกันแก้ไขปัญหา ตลอดจนพัฒนารูปแบบการค้าการลงทุน เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล และผลักดันให้เกิดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อความร่วมมือ และการพัฒนาของทั้งสองประเทศ สืบไป
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน ได้กล่าวแสดงเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ ในการสนับสนุนการสถาปนา "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" โดยมีความเชื่อมั่นว่า กลไกดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญยิ่ง ในการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกันในทุกภาคส่วน อันได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ของทั้งสองประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น กลไกนี้ยังจะ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และเป็นเครื่องหมายแห่งการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี พ.ศ. 2568
ทั้งนี้ หอการค้าไทย-จีน ได้ดำเนินการจัดตั้งสหพันธ์หอการค้าไทย-จีน และสมาคมธุรกิจต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกกว่า 80 องค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงการสร้างเสริมปฏิสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ประกอบการไทย และจีน ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้สหพันธ์ฯ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ให้เจริญก้าวหน้า และมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
นางสาวเฉิน หวา ผู้แทนสภาสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของ "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" ว่าเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ดำเนินไปอย่างยั่งยืน อันเป็นภารกิจอันทรงเกียรติ ที่ทุกฝ่ายต่างมีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดสัมฤทธิผล
นางสาวเฉิน หวา แสดงความเชื่อมั่นว่า แผนงาน 9 ประการ ภายใต้กลไกดังกล่าว จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง สำหรับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองประเทศในอนาคต โดยสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย พร้อมที่จะใช้ศักยภาพขององค์กร ในการส่งเสริม และผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้า ให้บรรลุเป้าหมายแห่งความยั่งยืนร่วมกัน
สมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 โดยมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศ ปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 365 บริษัท ซึ่งรวมถึงบริษัทชั้นนำระดับโลกจากสาธารณรัฐประชาชนจีน การลงทุนจากวิสาหกิจจีนในประเทศไทย ได้มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจ และพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศ
สำหรับทิศทางความร่วมมือในอนาคต สมาคมฯ มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจจีน กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของไทย ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ได้กล่าวเสริมถึงบทบาทสำคัญของ "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" ว่าจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมุ่งหวังที่จะช่วยขจัดความกังวล และอุปสรรคต่างๆ ที่ภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศกำลังเผชิญ นอกจากนี้ กลไกดังกล่าวยังจะเป็นโอกาสอันดีในการขยายความร่วมมือไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ อันจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต กลไกนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ส่งเสริมกิจกรรมทางการค้า และการลงทุน ที่สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับของทั้งสองประเทศ รวมถึงสนับสนุนการทำงานของสื่อมวลชน ในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดี และเป็นกลาง ระหว่างสังคมไทย และจีน การสถาปนา "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่จะนำพาความร่วมมือทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ไปสู่อนาคตที่สดใส และยั่งยืน
การสถาปนา "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" ในครั้งนี้ นับเป็นหมุดหมายสำคัญ ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของภาคเอกชนไทย และจีน ในการร่วมมือกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
กลไกดังกล่าว เปรียบเสมือนสะพานเชื่อม ที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ เสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน และขจัดอุปสรรคต่างๆ เพื่อนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนา และยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจ ในหลากหลายมิติ
ทั้งนี้ ความสำเร็จของกลไกนี้ จะขึ้นอยู่กับความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการร่วมกันผลักดัน และขับเคลื่อนแผนงาน 9 ประการ ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม
ความร่วมมือระหว่างไทย-จีน มิได้จำกัดอยู่เพียงมิติทางเศรษฐกิจ หากแต่ยังครอบคลุมถึงมิติทางสังคม และวัฒนธรรม อันเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
ในโอกาสที่ราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังจะเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี พ.ศ. 2568 "กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน" จะเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ และความร่วมมือ ที่พร้อมจะนำพาทั้งสองประเทศ ก้าวไปสู่อนาคตที่รุ่งเรือง และยั่งยืนร่วมกัน