นักวิเคราะห์ชี้ หุ้นไทยมีแนวโน้มเป็นบวกหากมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จเพราะนักลงทุนรู้สึกมั่นคง เริ่มเห็นแนวทางที่แน่นอนในการดำเนินเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ยกเว้นมีการพลิกขั้วที่เสี่ยงทำให้มีการเมืองนอกสภา และการชุมนุม คาด SET Index ขึ้นไปที่ 1,630 จุดสิ้นปีนี้ ลดลงจากการคาดการณ์เดิมที่ 1,707 จุด
ในวันที่ 3 กรกฎาคม นาย สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และ นาย ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมแถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) และตอบคำถามด้านทิศทางการลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2566
โดยการสำรวจครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 25 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 19 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 2 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน 2 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 2 บริษัท
จากผลสำรวจความเห็น นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 36% มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 จะเคลื่อนตัวแบบ Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 2 ปี 2566 ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 32% มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกและลบที่เท่ากัน
นักวิเคราะห์มองว่า ‘ปัจจัยบวกเดียว’ ที่จะส่งให้หุ้นไทยเติบโตมากที่สุดก็คือ ‘เศรษฐกิจในประเทศ’ เพราะมองว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภาคส่วนการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วน ‘ปัจจัยลบ’ นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดทุนไทยมากที่สุดก็คือ
โดยนักวิเคราะห์มองว่า ปัจจัยที่ควรจับตามองที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาส 3 มากที่สุดก็คือ การจัดตั้งรัฐบาล/การเมืองในประเทศ ทิศทางดอกเบี้ยของ FED และภาวะเศรษฐกิจโลก
นาย ณัฐพล กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการปรับตัวขึ้น หลังมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ไม่ว่าจะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคไหนจะได้เป็นหัวหน้ารัฐบาล เพราะนักลงทุนและนักวิเคราะห์ต้องการเสถียรภาพทางการเมือง และความมั่นคงในการดำเนินนโยบาย แต่หากมีการพลิกขั้ว คือเปลี่ยนจากขั้วก้าวไกล-เพื่อไทย เป็นฝั่ง ภูมิใจไทย-รวมไทยสร้างชาติ-พลังประชารัฐ อาจจะส่งผลเสียต่อตลาดทุนเพราะจะเกิดความไม่มั่นคง ความเสี่ยงมีการเมืองนอกสภา มีการต่อต้านจากประชาชน และอาจมีการชุมนุม
อย่างไรก็ตาม หากมีการตั้งรัฐบาลสำเร็จ นักวิเคราะห์มองว่าค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้นไทยสิ้นไตรมาสที่ 3 จะอยู่ที่ 1,568 จุด ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในช่วง ก.ค. - ธ.ค. 66 เฉลี่ยที่ระดับ 1,643 จุด และแตะจุดต่ำสุดของปี 2566 ในช่วงก.ค. - ธ.ค. 66 เฉลี่ยที่ระดับ 1,454 จุด และคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,630 จุด ซึ่งลดลง 77 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน อยู่ที่ 1,707 จุด
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น นักวิเคราะห์แนะนำให้ ‘เพิ่ม’ น้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การแพทย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ ‘ลด’ น้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจ Finance (non-bank) ปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค
โดยจากความเห็นของนักวิเคราะห์ รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น Delta ที่มีเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่ ซึ่งนาย สมบัติ แนะนำว่าให้ ‘จับตาดูว่าตัวแทนจากพรรคใดจะได้ดูแลกระทรวงสายเศรษฐกิจ’ เช่น กระทรวงการคลัง เพราะแต่ละพรรคมีนโยบายทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน เช่น
นอกจากนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ยังได้ให้แนวทางสำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 3 เพื่อบริหารความเสี่ยง โดยแนะนำให้มีสินทรัพย์แต่ละประเภทในพอร์ตในสัดส่วนดังนี้