เรียกได้ว่าเป็นอีกวันสำคัญแห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะในที่สุดในวันนี้ (22 ส.ค.) ประเทศไทยก็อาจจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว หาก ‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และอีก 11 พรรคร่วมรัฐบาลสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาได้เกินครึ่ง หรือ 376 เสียงขึ้นไป
จากกำหนดการณ์ในวันนี้ การถ่ายทอดสดการประชุมสภาจะเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 10.00 น. ก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีในเวลาประมาณ 15.00 น. ซึ่งนอกจากผลการเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องมาลุ้นกันก็คือผู้นั่งเก้าอีรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน
ในวันนี้ทีม SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมาดูก่อนว่าจากข้อมูลและการคาดการณ์ในตอนนี้ ตัวแทนจากพรรคใดจะได้คุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจใดบ้าง และมีนโยบายทางเศรษฐกิจไหนจากพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่น่าจะถูกนำมาใช้ในรัฐบาลชุดใหม่
เมื่อวานนี้ พรรคเพื่อไทยพร้อมแกนนำพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล รวม 11 พรรค รวมเสียง สส. 314 เสียง แถลงข่าวร่วมกันที่รัฐสภา พร้อมเปิดเผยแผนการแบ่งตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งประกอบด้วย
จากแผนนี้จะเห็นได้ว่า การจัดโควตาตำแหน่งสำคัญนั่นลดหลั่นลงมาตามคะแนนเสียงและเก้าอี้ ส.ส. ในสภา แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่า ผู้แทนของแต่ละพรรคการเมืองจะได้นั่งเก้าอี้กระทรวงใดบ้าง โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยในแถลงการณ์เมื่อวานแล้วว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้พูดคุยถึงรายละเอียดของรัฐมนตรีของแต่ละพรรค และได้พูดคุยตกลงกันแล้ว ซึ่งพรรคจะนำไปดำเนินการต่อ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม จากโผครม. ชุดใหม่ที่มีการเปิดเผยออกมา ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจทั้ง 9 กระทรวงนั้น น่าจะมีการชิงตำแหน่งกันอยู่ในหมู่พรรคใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และชาติไทยพัฒนา
โดยพรรคที่น่าจะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ‘กระทรวงการคลัง’ ที่ได้งบประมาณสูงที่สุดในหมู่กระทรวงเศรษฐกิจ และมีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ค่อนข้างเป็นที่แน่นอนว่าจะเป็น ‘พรรคเพื่อไทย’ โดยมีตัวเต็งสำคัญหลายคน คือ ตัวนายเศรษฐา ทวีสิน เอง รวมไปถึง แพทองธาร ชินวัตร และ เผ่าภูมิ โรจนสกุล
ในขณะที่ เก้าอี้ที่มีผู้ชิงตำแหน่งมากที่สุดก็คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีการคาดการณ์ว่าเป็นไปได้ถึง 4 คนด้วยกัน คือ นายไชยา พรหมา และ นาย วิสุทธิ์ ไชยณอรุณ จากพรรคเพื่อไทย และสนอรรถ กลิ่นประทุมจาก พรรคภูมิใจไทย และ นาย ธนกร วังบุญคงชนะ จากรวมไทยสร้างชาติ
นอกจากการเปิดแผนการแบ่งเก้าอี้สำคัญในครม. แล้ว พรรคเพื่อไทยยังได้เปิดเผยรายชื่อนโยบายสำคัญที่ได้รับการยอมรับร่วมกันจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยยืนยันว่าจะไม่มีการเสนอแก้กฎหมายมาตรา 112 ซึ่งเป็นนโยบายที่เป็นที่ถกเถียง และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคก้าวไกลไม่สามารถตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้สำเร็จ
นอกจากนี้ ทุกพรรคยังได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันว่าจะนำนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้เป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ เช่น
ทั้งนี้ พรรคร่วมจะนำนโยบายเข้ามาบูรณาการร่วม พร้อมปรับ เสริม หรือประสานนโยบายของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ให้เป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด และนำมาจัดทำเป็นนโยบายร่วมกัน เพื่อแถลงต่อรัฐสภาต่อไป
จากแถลงการณ์นี้ จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่านโยบายทางเศรษฐกิจหลักๆ ที่จะถูกนำมาใช้ในอีก 4 ปีข้างหน้า ก็คือนโยบายของพรรคเพื่อไทย ในขณะที่มีนโยบายของพรรคร่วมอันดับ 2 คือภูมิใจไทยมาร่วมบ้าง ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าในวันนี้พรรคเพื่อไทยจะสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และดำเนินการตามแผนที่แถลงไว้ได้หรือไม่ ที่สำคัญเสถียรภาพของรัฐบาลหลังจับมือรวมกันถึง 11 พรรคการเมืองนี้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยในอนาคตเข้มแข็งขึ้นกว่าอดีต และ ปัจจุบันได้แค่ไหน