KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจเกียรตินาคินภัทร ปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลงจาก 3.3% เป็น 2.8% สำหรับปี 2023 และจาก 3.6% เป็น 3.3% สำหรับปี 2024 หลังพบ GDP ไตรมาส 2 ออกมาค่อนข้างต่ำ จากภาคท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ยอดผลิตและส่งออกที่ต่ำ และหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ตัวเลข GDP ทั้งปีมีความเสี่ยงที่จะโตต่ำกว่าที่ตลาดประเมินมาก
โดยจากรายงาน GDP ไตรมาส 2 ของไทยเติบโตเพียง 1.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.1% โดยตัวเลขเศรษฐกิจปัจจุบันสวนทางกับการคาดการณ์ในช่วงต้นปีว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้ดีในปีนี้จากนักท่องเที่ยวตามการเปิดเมืองของจีน
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ภาคการส่งออกสินค้าไทยยังคงมีทิศทางหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากตัวเลข GDP จากฝั่งภาคการผลิตที่ชะลอตัวลงมาอยู่ที่เพียง 1.8% โดยเฉพาะการผลิตในกลุ่มภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวลง 2.1% และภาคเกษตรมีทิศทางที่ชะลอตัวลงโดยขยายตัวเพียง 0.5% ในไตรมาสนี้ ซึ่งการเติบโตที่แตกต่างกันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงคลังและค่าคลาดเคลื่อนทางสถิติที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าปกติในช่วงที่ผ่านมา
โดยถึงแม้ตัวเลข GDP ในฝั่งการใช้จ่ายจะเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก โดยเติบโตถึง 6.7% โดยเฉพาะการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกภาคบริการซึ่งได้รับแรงส่งจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ตัวเลขการเติบโตของการบริโภคที่โตขึ้นอย่างก้าวกระโดดอาจไม่ได้หมายความว่ารายได้ของผู้บริโภคในภาพรวมฟื้นตัวได้ดี หากมองจากมุมมองของการจ้างงาน
ทั้งนี้ เป็นเพราะการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนถึง 16% ของการจ้างงานทั้งหมด ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออก ในขณะที่ภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่อาจได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวโดยตรงมีเพียง 11% ทำให้ตัวเลขการบริโภคที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวเลขการบริโภคที่สำคัญ 2 ข้อ คือ
ด้วยเหตุนี้ KKP Research ประเมินว่าตัวเลขการเติบโตของบริโภคในครึ่งหลังของปีจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญและทำให้ตัวเลขการบริโภคทั้งปีชะลอตัวลงเหลือ 4.5% จากตัวเลขไตรมาส 2 ที่เติบโตได้ถึง 7.8% และในปี 2024 การบริโภคจะยังคงฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ โดยเติบโตประมาณ 3.0%
นอกจากตัวเลขการบริโภคที่ฟื้นไม่ทั่วถึง และมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวยาวในอนาคตแล้ว KKP Research ยังประเมินอีกว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังอ่อนไหวต่อผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เพราะมีการพึ่งพาต่างประเทศค่อนข้างมาก ทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ต้องรอนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และการส่งออกที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศปลายทาง เพราะถ้าตลาดส่งออกสภาพเศรษฐกิจซบเซาลง อุปสงค์ก็จะลดลงไปด้วย
ดังนั้น ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกกำลังมีวัฏจักรการเติบโตที่สวนทางกัน พัฒนาไปในทิศทางที่ไม่เหมือนกัน เศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญความไม่แน่นอนและความผันผวนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะกระทบเศรษฐกิจไทยใน 3 ประเด็น คือ
นอกจากนี้ จากข้อมูลของ KKP Research ในปัจจุบันดุลการค้าของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวแย่ลงของดัชนีการค้า (Terms of trade) หรือ ราคาสินค้าส่งออกหารด้วยราคาสินค้านำเข้า
โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาสินค้านำเข้าของไทยปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาสินค้าส่งออกทำให้ไทยมีมูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้นมากกว่ามูลค่าการส่งออก สาเหตุหลักเกิดจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ดัชนีการค้าปรับตัวแย่ลงและอยู่ในระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ในระยะข้างหน้าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำทั้งในปีนี้และปีหน้า และเป็นอีกแรงกดดันให้ค่าเงินบาทไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้เร็วเหมือนในอดีต
แม้ว่าในที่สุดจะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมถึง 6 พรรค โดยการแบ่งตำแหน่งรัฐมนตรีกระจายไปตามพรรคต่าง ๆ จะทำให้การผลักดันนโยบายสำคัญ ๆ มีความท้าทาย
อย่างไรก็ตาม KKP Research ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับมองว่า 3 นโยบายที่อาจจะคาดว่าจะได้รับการถูกผลักดันทันทีในระยะเวลา 1 ปีแรกและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดทางการคลังถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด โดยปัจจุบันมี วงเงินที่รัฐสามารถกู้เพิ่มจากเพดานการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลตาม พรบ. การบริหารหนี้สาธารณะ หรือใช้ผ่านรัฐวิสาหกิจ ตามกรอบวงเงินภาระทางการคลังตามมาตรา 28 ของ พรบ. วินัยการเงินการคลัง ได้อีกไม่มากนัก
นอกจากนี้ แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ร้อยละ 61 ของ GDP ต่ำกว่าเพดานหนี้ที่ร้อยละ 70 ของ GDP แต่มีความจำเป็นต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการใช้เงิน และความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว