Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
IMF แนะไทยลดดอกเบี้ยเพิ่มช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ ย้ำปรับโครงสร้างการคลัง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

IMF แนะไทยลดดอกเบี้ยเพิ่มช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ ย้ำปรับโครงสร้างการคลัง

21 ก.พ. 68
17:40 น.
|
349
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

  • เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า – IMF ระบุว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2566 อยู่ที่ 1.9% และคาดว่าจะอยู่ที่ 2.7% ในปี 2567 ส่วนปี 2568 คาดว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 2.9%
  • แนะนำลดดอกเบี้ยเพิ่ม – สนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือน
  • เร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ – แนะไทยลดการพึ่งพานโยบายแจกเงินสด และมุ่งลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพ รวมถึงเร่งปฏิรูปตลาดแรงงาน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการเปิดเสรีภาคบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว

ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.25% ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจไทยที่หลายสำนักประเมินว่า ปี 2568 GDP ไทยน่าจะต่ำกว่า 3% โตต่ำต่อเนื่องกว่า 7 ปีแล้ว จนกระแสเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกเริ่มชัดเจนไปในทางเดียวกันมากขึ้น

โดยในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นการประชุมนัดแรกของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. หลังจากปื 2567 ที่ผ่านมาลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

มุมมองล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF สนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและช่วยลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือนลง 

ผลการหารือระหว่างคณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กับฝ่ายบริหารของไทย หรือ Article IV Consultation ปี 2024 มีมุมมอง-ข้อเสนอแนะต่อเศรษฐกิจไทยและการดำเนินนโยบายทั้งการเงิน การคลัง ของประเทศไทยดังนี้ 

สรุปมุมมองด้านเศรษฐกิจของไทย

  • เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า – IMF ระบุว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2566 อยู่ที่ 1.9% และคาดว่าจะอยู่ที่ 2.7% ในปี 2567 โดยมีแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว  ส่วนปี 2568 คาดว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 2.9%
  • เงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย – อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2567 อยู่ที่เพียง 0.4% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1-3% โดยได้รับอิทธิพลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง มาตรการอุดหนุนราคาพลังงาน และการควบคุมราคา
  • ดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้น – ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวเป็น 1.4% ของ GDP ในปี 2566 จากเดิมติดลบ -3.5% ในปี 2565 และคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว

IMF เตือนถึง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จากปัจจัยภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางการค้าโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน และภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว ขณะที่ปัจจัยภายใน เช่น หนี้ภาคเอกชนสูงและความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต

ข้อเสนอแนะในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ 

  • แนะนำลดดอกเบี้ยเพิ่ม – สนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือน
  • เร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ – แนะไทยลดการพึ่งพานโยบายแจกเงินสด และมุ่งลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพ รวมถึงเร่งปฏิรูปตลาดแรงงาน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการเปิดเสรีภาคบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจคาดว่าจะดำเนินต่อไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป

IMF มองว่า GDP ที่แท้จริงของไทยคาดว่าจะเติบโตที่ 2.7% ในปี 2567 และเพิ่มขึ้นเป็น 2.9% ในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายการคลังที่มากขึ้นภายใต้ร่างงบประมาณปี 2568 ซึ่งรวมถึงมาตรการแจกเงินสดเพิ่มเติม ซึ่งคิดเป็น 1% ของ GDP และการลงทุนภาครัฐที่ฟื้นตัวขึ้น ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะยังคงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการแจกเงินสดของภาครัฐ 

อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในช่วงล่างของกรอบเป้าหมายในปี 2568 ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 และ 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนการฟื้นตัวของไทยถือว่าช้ากว่า ซึ่งเป็นผลมาจากจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่มีมานาน รวมถึงอุปสรรคใหม่ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ แนวโน้มเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมีความเสี่ยงด้านลบในระดับที่สำคัญ

ความเสี่ยงด้านลบที่สำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย

ปัจจัยภายนอก - มาจากความตึงเครียดทางการค้าโลกที่เพิ่มขึ้นหรือการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในขณะที่ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตและทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวเป็นเวลานานอาจเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย

ปัจจัยภายใน - หนี้ภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงอาจกระทบต่อเสถียรภาพของงบดุลของสถาบันการเงินและทำให้การปล่อยสินเชื่อลดลง ส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายและบั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค

ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงดำเนินต่อไป แต่เป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่ทั่วถึง คณะกรรมการได้ประเมินถึงแนวทางในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจไทยทั้งด้านเงิน การคลัง และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ 

ปรับนโยบายการคลังให้อยู่ในกรอบ 

IMF ระบุว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวควรให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ทางการคลังมากขึ้น เป็นการช่วยรักษาความสามารถในการดำเนินนโยบายในอนาคต โดยปรับการจัดสรรเงินช่วยเหลือบางส่วนไปสู่การลงทุนที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพหรือการคุ้มครองทางสังคม จะช่วยให้เกิดการเติบโตที่ครอบคลุมและช่วยลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ได้ 

เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 ควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างการคลังในระยะกลางที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้เพื่อลดหนี้สาธารณะและสร้างกันชนทางการคลัง การดำเนินมาตรการทางการคลังควรอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและคำนึงถึงความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย ควรมีการคำนวณต้นทุนของมาตรการกึ่งการคลัง เช่น การตรึงราคาพลังงาน ให้เหมาะสม และติดตามความเสี่ยงทางการคลังอย่างใกล้ชิด การปรับปรุงข้อมูลทางการเงินของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเป็นสิ่งสำคัญ

สนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม 

เจ้าหน้าที่ IMF สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและแนะนำให้ลดลงเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนอัตราเงินเฟ้อและช่วยให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ดีขึ้น โดยมองว่าไม่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการก่อหนี้ใหม่มากขึ้นในภาวะสินเชื่อตึงตัว นโยบายการเงินควรมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนตามข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ

ความร่วมมือเชิงนโยบายเป็นสิ่งจำเป็นในการรับมือกับความเสี่ยง

นอกจากนี้ควรปล่อยให้ค่าเงินบาทมีความยืดหยุ่นเพื่อทำหน้าที่เป็นกันชนต่อแรงกระแทกทางเศรษฐกิจ แต่การแทรกแซงค่าเงินเป็นครั้งคราวอาจช่วยลดความผันผวนที่ไม่เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานในตลาดเงินตราต่างประเทศ

ควรดำเนินการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง

ไทยจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน โดยการส่งเสริมการแข่งขัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพและดิจิทัล การเพิ่มทักษะแรงงาน และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล 

นอกจากนี้การเพิ่มระบบคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมมากขึ้นจะช่วยลดความเปราะบางของครัวเรือนและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาว

ที่มา : IMF

แชร์
IMF แนะไทยลดดอกเบี้ยเพิ่มช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ ย้ำปรับโครงสร้างการคลัง